แสงแดดอ่อนยามสายส่องผ่านผิวน้ำใสของลำธารสายหนึ่ง เกล็ดปลาที่ว่ายผ่านแสงนั้นสะท้อนเป็นสีสันงดงามราวอัญมณีในน้ำ ความงามนั้นไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติ แต่บางครั้ง… สิ่งที่ดูสวย อาจกลายเป็นเรื่องที่ชวนให้เปรียบเทียบ
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงปลาสองตัวที่พบกันโดยบังเอิญ และการสนทนาเรื่อง “ใครมีดีกว่ากัน” ได้พาเรื่องราวทั้งหมดไปสู่บทเรียนที่ทั้งลึกซึ้งและคาดไม่ถึง กับนิทานชาดกเรื่องใครสวยกว่ากัน?

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องใครสวยกว่ากัน?
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ลำธารกว้างกลางหุบเขา สายน้ำใสสะอาดไหลพาดผ่านก้อนหินและสาหร่ายเบา ๆ มีปลาม้าลายตัวหนึ่งกำลังว่ายน้ำอย่างสง่างาม เกล็ดของมันแวววาวเป็นลายพาดขาวดำสลับกันอย่างลงตัว เมื่อกระทบแสงอาทิตย์ยามสาย ก็ยิ่งสะท้อนประกายงามตา
ในวันเดียวกันนั้นเอง ปลาทองจากบึงอีกฝั่งหนึ่งก็ว่ายเข้ามาในลำธารนี้โดยบังเอิญ มันมีเกล็ดสีทองอมส้ม และหางยาวพลิ้วเหมือนแพรไหม
เมื่อทั้งสองว่ายสวนกัน ปลาม้าลายหยุดและหันมามอง “สวัสดีจ้ะ เจ้าไม่ใช่ปลาที่อยู่ในลำธารนี้ใช่ไหม ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อนเลย”
ปลาทองยิ้มตอบ “ใช่แล้ว ข้ามาจากบึงอีกฟากหนึ่ง วันนี้ลองว่ายมาเล่นดู เจ้านี่ก็มีลายแปลกตาดีนะ”
ปลาม้าลายยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ทั้งสองเริ่มพูดคุยกันอย่างเป็นมิตร พวกมันพูดถึงบ้านเกิดของตน อาหารที่ชอบ และที่ที่น้ำเย็นที่สุดในลำธาร
การพูดคุยดำเนินไปด้วยดี จนกระทั่งปลาม้าลายถามขึ้นว่า “ว่าแต่…เจ้าเคยมีใครบอกไหมว่าข้าน่ะ สวยมากทีเดียว”
ปลาทองหัวเราะน้อย ๆ “แน่นอน ข้าก็ได้ยินคนพูดแบบนั้นเสมอ แต่พวกเขาบอกว่าข้าสวยที่สุดในบึงด้วยซ้ำ”
ปลาม้าลายย่นคิ้วเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่าเจ้าสวยกว่าข้าอย่างนั้นหรือ”
“เปล่าหรอก ข้าแค่พูดตามที่เขาว่า เกล็ดของข้าเป็นประกายตอนพระอาทิตย์ตก และหางของข้าก็ยาวสวยไม่เหมือนใคร”
คำพูดนั้นเหมือนเป็นชนวนให้บรรยากาศเริ่มเปลี่ยน เสียงพูดคุยกลายเป็นการโต้แย้ง ทั้งคู่เริ่มยกจุดเด่นของตนมาเปรียบเทียบกัน
“ลายของข้าไม่เหมือนใคร เห็นปุ๊บก็รู้ทันทีว่าข้ามาจากลำธารสายนี้!”
“แต่เกล็ดของข้าดูอบอุ่น เหมือนแสงไฟในฤดูหนาว ใครเห็นก็รู้สึกดี”
เสียงถกเถียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีเต่าตัวหนึ่งเดินต้วมเตี้ยมลงมายังขอบน้ำ ปลาทั้งสองหยุดเถียง แล้วหันไปเรียกเขาพร้อมกัน
“ท่านเต่า! มานี่หน่อย พวกข้าต้องการให้ท่านช่วยตัดสิน!”

เต่าตัวนั้นมีเกล็ดหนาและสีเขียวเข้ม เดินช้า ๆ มาหยุดอยู่ริมตลิ่งก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงแหบเบา “พวกเจ้ามีเรื่องอะไรหรือ”
ปลาม้าลายรีบว่ายเข้าใกล้ “พวกเรากำลังถกกันว่าใครสวยกว่ากัน ข้ามีลายเด่นชัดและว่ายน้ำเร็วเป็นอันดับหนึ่งของลำธาร”
ปลาทองแทรกขึ้นทันที “แต่ข้ามีหางที่ยาวราวริ้วผ้า แถมเกล็ดก็เปล่งประกายยิ่งกว่าแสงอาทิตย์ยามเย็น”
เต่าฟังอย่างเงียบ ๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “พวกเจ้าคงอยากให้ข้าตัดสินสินะว่าใครสวยกว่า”
ปลาทั้งสองพยักหน้า “ใช่ ท่านช่วยบอกทีเถิด”
เต่าเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสีเป็นส้มอ่อน ๆ พลางกล่าวช้า ๆ ว่า “ปลาม้าลาย เจ้าก็มีลายที่น่ามอง ปลาทอง เจ้าก็มีแสงเงาที่งดงาม”
ทั้งสองฟังอย่างตั้งใจ ก่อนจะได้ยินคำต่อมาที่ทำให้เงียบงัน
“แต่หากจะถามว่าใครสวยที่สุด…ข้าขอบอกว่า คนที่สวยที่สุดคือตัวข้านี่เอง”
ปลาทั้งสองเบิกตากว้าง “ท่านเต่า… พูดอะไร?!”
เต่ายิ้มเล็กน้อย “ใช่แล้ว เพราะข้าไม่มัวเสียเวลาเปรียบเทียบกับใคร ข้าอยู่กับสิ่งที่ข้ามี และใช้ชีวิตอย่างสงบ”
ว่าจบ เต่าก็หันหลังเดินกลับขึ้นฝั่งช้า ๆ โดยไม่พูดอะไรอีก ทิ้งไว้เพียงเงาของเกล็ดหนาที่ยามนี้สะท้อนแสงแดดได้ไม่แพ้ปลาทองเลย
ปลาม้าลายกับปลาทองหันมามองหน้ากันเงียบ ๆ พวกมันไม่รู้แน่ชัดว่าแพ้… หรือเพิ่งได้เรียนรู้อะไรบางอย่างที่สำคัญกว่าคำว่า “สวยงาม” เสียอีก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความงามที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเปรียบเทียบกับใคร แต่คือการรู้คุณค่าของตนเองโดยไม่ต้องอวดอ้าง
ปลาทั้งสองมัวแต่พยายามหาคำตอบว่าใครสวยกว่ากัน จนลืมคิดว่าสิ่งสำคัญกว่าคือการยอมรับในสิ่งที่ตนมี ส่วนเต่า ซึ่งไม่ได้เข้าร่วมการอวดอ้างใด ๆ กลับเป็นผู้เปี่ยมด้วยปัญญา และทำให้ผู้อื่นหยุดคิดได้ด้วยความนิ่งสงบของตน
ความงดงามจึงไม่ใช่สิ่งที่ต้องให้ใครมารับรอง แต่คือสิ่งที่เปล่งออกมาจากใจที่รู้จักคุณค่าของตัวเองอย่างแท้จริง
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องใครสวยกว่ากัน? (อังกฤษ: Who is the Prettier?) จัดอยู่ในหมวดสัตตวชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นสัตว์ มีจุดมุ่งหมายเพื่อสอนให้เห็นถึงภัยของความหลงในรูปลักษณ์ และการมัวเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อมีภิกษุสองรูปทะเลาะกันเรื่องความงามของจีวรและรูปลักษณ์ของตน จนเกิดความแตกแยกในหมู่สงฆ์ พระองค์จึงตรัสชาดกเรื่องนี้เพื่อเตือนสติว่า การเอาชนะกันด้วยรูปลักษณ์ภายนอกเป็นสิ่งไร้สาระ
ในชาตินั้น พระองค์ทรงเสวยพระชาติเป็นเต่า ผู้สงบ เยือกเย็น และเปี่ยมด้วยปัญญา ใช้คำพูดง่าย ๆ แต่สะเทือนใจเพื่อยุติข้อขัดแย้ง และชี้ให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงของแต่ละชีวิต
ชาดกเรื่องนี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจให้รู้ว่าการรู้จักคุณค่าของตนเอง และใช้ชีวิตอย่างมั่นคงโดยไม่หวั่นไหวต่อคำของผู้อื่น คือสิ่งที่ทำให้ชีวิตงดงามที่สุด
คติธรรม: “ความงามที่แท้จริง คือความสงบในใจ ไม่ใช่คำชมจากผู้อื่น ผู้ที่รู้จักคุณค่าของตนเอง ย่อมไม่ต้องแข่งขันเพื่อพิสูจน์ให้ใครเห็น”