โลกของนิทานเต็มไปด้วยเรื่องราวมหัศจรรย์ ตัวละครเล็กตัวน้อยก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงใหญ่ด้วยไหวพริบและความกล้าหาญ
มีนิทานกริมม์เรื่องหนึ่ง เล่าถึงชายตัวเล็กเพียงนิ้วหัวแม่มือ “ทอมจิ๋ว” ที่แม้ร่างกายเล็ก แต่กล้าหาญและฉลาด ออกผจญภัยผ่านอุปสรรคมากมาย พิสูจน์ว่าแม้ตัวเล็กก็สามารถทำสิ่งยิ่งใหญ่ได้ กับนิทานกริมม์เรื่องทอมจิ๋ว

เนื้อเรื่องนิทานกริมม์เรื่องทอมจิ๋ว
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวชนบทผู้ยากจนคู่หนึ่ง อาศัยอยู่ในบ้านเล็ก ๆ ริมป่า ยามค่ำคืนสามีก็มักจะนั่งพิงปล่องไฟ ขยับฟืนเป็นระยะ ส่วนภรรยาก็นั่งหมุนฟั่นเข็นด้ายเงียบ ๆ ทั้งสองมักถอนหายใจเหมือนกันทุกคืน
“บ้านเรานี่เงียบจริง ๆ นะ ถ้ามีเด็กวิ่งเล่นคงจะไม่เหงาแบบนี้” ชายคนนั้นบ่นขึ้น
ภรรยามองกองไฟสว่างแดงแล้วตอบเบา ๆ “ขอแค่มีสักคน… แม้จะเล็กเท่านิ้วหัวแม่มือ ฉันก็ยินดีเหลือเกิน”
คำอธิษฐานเล็ก ๆ ที่ซื่อและจริงใจนั้นเหมือนลอยไปถึงฟ้า เพราะไม่นานหลังจากนั้น ภรรยาก็ให้กำเนิดลูกชายตัวน้อย สมบูรณ์แข็งแรงทุกอย่าง เพียงแต่…ตัวเล็กเท่านิ้วโป้ง!
ทั้งสองมองลูกน้อยแล้วหัวใจพองโตด้วยความสุข “นี่แหละ ลูกที่เราขอไว้ ทอมจิ๋ว คงต้องเรียกเขาอย่างนี้สินะ”
แม้ทอมจะไม่โตขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เขาฉลาดเป็นกรด ไหวพริบดี และพูดจาฉะฉานจนทำให้พ่อแม่ทึ่งอยู่เสมอ
วันหนึ่ง พ่อเตรียมจะเข้าไปตัดไม้ในป่า เขาพึมพำว่า “ถ้ามีใครเอารถม้าออกมารับก็ดีสิ…”
“พ่อ! เดี๋ยวผมทำให้เอง!” เสียงเล็กจิ๋วดังขึ้นจากพื้น
พ่อหัวเราะออกมา “เจ้าเล็กเท่านิ้วแบบนี้ จะขับรถม้าได้ยังไงกัน?”
“ไม่มีปัญหาหรอกพ่อ ผมนั่งในหูม้าก็ขับได้แล้ว แค่บอกทางให้มันไปถูกก็พอ!”
พ่อยิ้มเอ็นดู ลองดูก็ไม่เสียหาย พอถึงเวลาเดินทาง เขาก็ยกทอมขึ้นวางไว้ในหูม้าอย่างทะนุถนอม “พร้อมนะ ทอม?”
“พร้อมแล้วพ่อ! ฮี้-ยะ! ไปเลยเจ้าเพื่อนม้ายักษ์!” แล้วเจ้าม้าก็ขยับเดินออกไปตามถนนราวกับมีคนขับจริง ๆ ทอมตะโกนสั่งอย่างสนุกสนานจนม้าทำตามทุกอย่างอย่างน่าประหลาด
ระหว่างทาง มีชายแปลกหน้าสองคนเดินผ่านมา พอเห็นเกวียนเคลื่อนที่เองก็หันขวับทันที
“เฮ้ย… คนขับหายไปไหน?”
“ไม่มีใครสักคน แต่เสียงสั่งม้าดังก้อง… แปลกจริง” ทั้งคู่แอบตามเกวียนอย่างสงสัย จนถึงลานไม้ในป่า เมื่อทอมเห็นพ่อก็ร้องดังฟังชัด
“พ่อ! ผมพารถมาถึงแล้วนะ!” พ่อหยุดม้าแล้วช่วยยกทอมออกจากหูม้า ทอมยิ้มกว้างเหมือนเป็นเรื่องง่ายที่สุดในโลก
ชายแปลกหน้าทั้งสองเมื่อเห็นตัวทอมชัด ๆ ก็อ้าปากค้าง “เด็กตัวจิ๋ว! ตัวแค่เนี้ยนะหรือขับม้ามาเอง! ถ้าเอาไปโชว์ในเมืองล่ะก็ รวยเละ!”
พวกเขาจึงเข้าไปคุยกับพ่อ “ขายเด็กน้อยให้เราเถอะ เราจะดูแลอย่างดี ไม่มีอันตรายแน่นอน”
พ่อส่ายหัวทันที “ไม่ขาย! เขาคือลูกชายของข้า จะให้เท่าไหร่ก็ไม่เอา!”
ทอมนั่งบนไหล่พ่อแล้วกระซิบเบา ๆ “พ่อ ให้ผมไปเถอะน่า ผมจะกลับบ้านเองเร็ว ๆ นี้แหละ”
พ่อยังคงลังเล แต่สุดท้ายก็ยอมปล่อยให้ทอมไปกับพวกชายสองคนนั้น หลังได้รับเงินจำนวนหนึ่ง ทอมโบกมือให้พ่อแม่อย่างไม่หวั่น เขารู้ดีว่านี่เป็นแค่การผจญภัยครั้งแรกของเขาเท่านั้น…
ชายทั้งสองให้ทอมยืนอยู่ที่ปีกหมวกของพวกเขา “ขึ้นมานี่ เดี๋ยวเจ้าจะได้ชมวิวด้วย”
ทอมนั้นสนุกสิไม่ว่า เดินไปเดินมาบนปีกหมวก พลางชมทุ่ง ชมป่าเหมือนเป็นระเบียงในอากาศ
แต่เมื่อเดินทางจนถึงใกล้ค่ำ ทอมก็พูดขึ้น “คุณลุงครับ ช่วยวางผมลงบนพื้นสักครู่ จะขอพักหน่อย”
หลังลังเลอยู่พักหนึ่ง พวกเขาก็ยอมวางทอมลงใกล้ทุ่งข้างทาง ไม่ทันครบหนึ่งลมหายใจ ทอมก็วิ่งปรู๊ดเข้าไปในร่องดิน ลับตาไปในพริบตา
“เฮ้! เจ้าเด็กแสบ!” ทั้งสองหาเท่าไรก็ไม่เจอ สุดท้ายจำต้องกลับเมืองมือเปล่า แถมหมดค่าตัวที่จ่ายไปอีกต่างหาก
ทอมซ่อนอยู่ในรูหนูจนฟ้ามืดสนิท เมื่อเงียบสนิท เขาจึงค่อย ๆ คลานออกมา “อืม… เดินในรูมืด ๆ แบบนี้น่ะอันตรายจริง ๆ นะ เกือบคอหักแล้ว”
โชคดีที่เขาพบเปลือกหอยทากว่างเปล่า “ดีล่ะ! คืนนี้นอนในนี้ล่ะปลอดภัยสุด” และเขาก็เข้าไปนั่งพักในนั้นอย่างสบายใจ
แต่ยังไม่ทันจะงีบ เขาก็ได้ยินเสียงคนเดินผ่าน พร้อมเสียงคุยกันเบา ๆ “เราจะขโมยเงินทองจากบ้านบาทหลวงยังไงดีวะ?”
“ไม่รู้สิ ทางเข้ามีเหล็กกั้นหมดเลย”
ทอมยิ้มกว้าง มองไม่เห็นแต่ความคิดผุดขึ้นในหัว เขาจึงร้องขึ้น “ฉันช่วยได้นะ!”
ขโมยทั้งสองสะดุ้งสุดตัว “เสียงใครวะ!?”
“มองลงพื้นสิ!” ทอมตอบ
พวกเขาก้มลงเห็นทอมยืนกอดอกในเปลือกหอย “เจ้าเด็กเล็กจิ๋ว? แล้วจะช่วยอะไรได้?”
“ตัวผมเล็กพอจะลอดซี่เหล็กเข้าไป หยิบของมีค่าให้คุณได้ไงล่ะ!”
พวกขโมยมองหน้ากัน แล้วรีบพาทอมไปบ้านบาทหลวงทันที เมื่อถึงช่องเหล็ก ทอมลอดเข้าไปได้จริง แต่ทันทีที่เข้าไปถึง เขาก็ตะโกนลั่น “ต้องการทั้งหมดเลยไหมครับ!? จะเอาไหมเอ่ย!?”
ขโมยสะดุ้ง รีบบอก “เบา ๆ สิวะ! เดี๋ยวคนได้ยิน!”
แต่ทอมทำเป็นไม่รู้เรื่อง ตะโกนซ้ำอีก “จะเอาอะไร? จะเอาทุกอย่างเลยไหมฮะ!?”
เสียงดังจนคนใช้ในห้องข้าง ๆ ลืมตาตื่น พวกโจรกลัวจนเผ่นกลับไปครึ่งทาง แต่ก็กลับมาดูเพราะคิดว่าเด็กคงแกล้ง
ทอมยังตะโกนต่อ “ได้เลย! เอามือมา เดี๋ยวผมส่งให้!”
คราวนี้คนใช้ได้ยินเต็ม ๆ รีบพุ่งมาเปิดประตู ขโมยตกใจแตกกระเจิงหนีไปไม่คิดชีวิต
ทอมเห็นจังหวะดี รีบหนีออกทางเดิม แล้ววิ่งไปในความมืดจนถึงยุ้งฟาง “คืนนี้นอนนี่ดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยกลับบ้าน…”
เขาซุกตัวในฟางนุ่ม ๆ ไม่รู้เลยว่าการผจญภัยที่หนักกว่าเดิม… กำลังรออยู่

รุ่งสาง คนใช้ของบ้านบาทหลวงลุกขึ้นมาให้อาหารวัวเป็นอย่างแรก เธอเดินเข้ายุ้งฟาง หยิบฟางเต็มอ้อมแขนโดยไม่รู้เลยว่า… ทอมกำลังนอนหลับอยู่ในนั้น!
ฟางกองนั้นถูกยื่นเข้าไปต่อหน้าวัวอย่างรวดเร็ว และทอมผู้ยังหลับลึกก็ถูก “งาบ” เข้าไปทั้งตัวโดยไม่รู้ตัว
เมื่อรู้สึกตัวอีกที ทอมก็อยู่ในที่แคบ มืด และโยกไปโยกมาไม่หยุด “โอ๊ย! นี่มันลานสีหรือไงเนี่ย!?” ไม่นานเขาก็รู้แล้วว่าตัวเองอยู่ในท้องวัว
กลิ่นก็แย่ พื้นที่ก็แคบ แถมฟางยังถูกกลืนเข้ามาเพิ่มตลอดเวลา เขาจึงเริ่มร้องสุดเสียง “พอแล้ว! ไม่เอาฟางแล้วนะ! พอเถอะ!”
คนใช้ที่กำลังรีดนมวัวได้ยินชัดเต็มสองหู เธอสะดุ้งสุดตัวเพราะจำเสียงนี้ได้จากเมื่อคืน “คุณพระ! วัวพูดได้!!”
เธอวิ่งไปหานายทันที บาทหลวงเดินมาหัวเราะในตอนแรก แต่พอได้ยินเสียงทอมร้อง “พอแล้ว! ไม่เอาฟางแล้ว!!”
ท่านหน้าซีดในทันที คิดว่าเป็นผีสิง จึงสั่งให้ฆ่าวัวเพื่อความปลอดภัย
วัวถูกเชือด และกระเพาะถูกโยนกองไว้บนกองปุ๋ยในสวนหลังบ้าน ทอม ซึ่งยังไม่ตาย แต่ทั้งเหนื่อยทั้งมอมแมม พยายามดันตัวเองออก “เฮ้อ… ที่แคบขนาดนี้ นี่มันคุกย่อม ๆ ดี ๆ นี่เอง!”
เขาพยายามแหวกจนมีรูโผล่มาได้ พอจะโผล่หัวออกได้พอดี แต่ยังไม่ทันได้สูดอากาศดี ๆ…
โชคร้ายระลอกใหม่ก็มาถึง มีหมาป่าหิวจัดตัวหนึ่งวิ่งมาคาบกระเพาะทั้งอันและกลืนลงไปทันที!
ทอมกลิ้งคว่ำกลิ้งหงายอยู่ในท้องหมาป่า แต่ครั้งนี้เขาไม่ตื่นตระหนกเลย กลับฉีกยิ้มขึ้นมาแทน “อืม… งั้นเรามาคุยกันดี ๆ ดีกว่า เจ้าหมาป่า”
เสียงของทอมดังขึ้นในท้องหมาป่า “พี่หมาป่า เอาของกินดี ๆ ไหมล่ะ? ผมรู้ทางนะ!”
หมาป่าชะงัก หยุดเดิน “ของกินอะไร? ที่ไหน?”

“บ้านพ่อแม่ผมนี่ไง! มีเค้ก เบคอน น้ำซุปอร่อย ๆ เพียบเลย”
แค่ได้ฟัง หมาป่าก็หูผึ่ง รีบพุ่งตัวไปยังบ้านของทอมตามคำแนะนำทันที มันมุดเข้าทางท่อระบายน้ำจนไปโผล่ในห้องเก็บอาหาร และจัดการกินอย่างบ้าคลั่ง
แต่ยิ่งกิน หมาป่าก็ยิ่งพุงใหญ่จนติดท่อ กลับออกไม่ได้ นั่นล่ะที่ทอมรออยู่ เขาร้องสุดเสียง “ช่วยด้วย! มีหมาป่าอยู่ในบ้าน!”
พ่อแม่ของทอมตื่นขึ้นมาเปิดประตูห้องเก็บของ และพบหมาป่ายักษ์กำลังติดอยู่ ตกใจจนต้องรีบไปหาอาวุธ พ่อถือขวาน แม่ถือเคียว
ทอมได้ยินเสียงพ่อ จึงร้องในท้องหมาป่า “พ่อครับ! ผมอยู่ในนี้!”
พ่อดีใจจนแทบร้องไห้ รีบบอกแม่ “ระวังเคียวนะ เดี๋ยวโดนลูกเรา!”
แล้วพ่อก็ฟาดขวานลงบนหัวหมาป่า ฝ่ายแม่ถือเคียวไว้เผื่อช่วย หมาป่าล้มลงสิ้นใจ
พ่อรีบผ่าท้องมันอย่างระมัดระวัง แล้วดึงทอมออกมา สภาพของทอมทั้งเลอะทั้งล้า แต่ยังยิ้มกว้าง
แม่อุ้มทอมเข้ากอด “ลูกแม่! เจ้ากลับมาแล้ว!”
ทอมหัวเราะเบา ๆ “ผมไปมาหลายที่เลยนะพ่อแม่ ทั้งรูหนู เปลือกหอย ท้องวัว และท้องหมาป่า… แต่บ้านนี่ยังดีที่สุด”
พ่อแม่ดีใจจนแทบไม่อยากปล่อยเขาไปไหนอีกแล้ว
หลังจากผจญภัยชุลมุนมาหลายต่อหลายครั้ง ทอมถูกพ่อแม่ทำความสะอาดอย่างดี ล้างตัวให้ หาผ้าเช็ดหน้าเล็ก ๆ มาเช็ด และเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทั้งหมด เพราะของเก่าถูกทำเลอะจนแทบจำไม่ได้แล้ว
แม่จัดเตียงนุ่ม ๆ ให้อย่างดี ส่วนพ่อก็นั่งข้าง ๆ ไม่ห่างแม้เพียงครู่ ทั้งคู่ยังไม่หายตกใจจากประสบการณ์ที่ลูกเพิ่งผ่านมา
พ่อถามด้วยความห่วงใย “ลูกได้เรียนรู้อะไรจากการเดินทางครั้งนี้บ้างหรือเปล่า?”
ทอมยิ้มทะเล้น “ได้สิครับพ่อ… ผมเรียนรู้ว่าโลกมันกว้าง แต่ก็อันตรายเยอะเหมือนกัน ที่สำคัญที่สุด ผมคิดถึงบ้านที่สุดเลยครับ”
พ่อแม่ยิ้มพร้อมกันอย่างโล่งใจ
เช้าวันต่อมา พ่อแม่จัดอาหารอุ่น ๆ ให้ทอมจิ๋วกินจนอิ่ม ทั้งสามนั่งคุยเรื่องเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน แต่พ่อแม่ก็ยังคอยสอดแทรกคำเตือนเสมอ “คราวหน้าอย่าวิ่งตามใครไปล่ะลูก”
ทอมส่ายหัวทันที “ไม่ไปแล้วครับ ผมพอแล้วกับการผจญภัยใหญ่ ๆ ตอนนี้แค่อยากอยู่บ้านกับพ่อแม่เท่านั้นเอง”
พ่อแม่ยิ่งฟังยิ่งยิ้ม พวกเขากอดทอมแน่นอย่างมีความสุข
และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทอมจิ๋วก็อยู่บ้านอย่างสงบ ไม่ก่อเรื่องอีกเลย แต่ก็ยังคงฉลาด สดใส และช่วยพ่อแม่ในแบบของเขา จนทุกคนในละแวกบ้านรักและเอ็นดูเจ้าหนูน้อยตัวเท่านิ้วหัวแม่มือคนนี้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ชีวิตคือการผจญภัยที่เราไม่มีวันรู้ล่วงหน้าว่าจะพบเจอสิ่งใด ทั้งเรื่องดี เรื่องร้าย หรือบททดสอบที่เหนือความคาดหมาย ความฉลาด ไหวพริบ และความกล้าหาญคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราผ่านพ้นทุกสถานการณ์ได้ แต่ไม่ว่าการเดินทางจะพาเราไกลแค่ไหน ท้ายที่สุด “บ้าน” และ “คนที่เรารัก” คือที่พึ่งพิงที่แท้จริง และเป็นปลายทางที่อบอุ่นที่สุดเสมอ
อ่านต่อ: คอลเลกชันนิทานกริมม์อ่านสนุกเพลิดเพลินได้ข้อคิดดี ๆ หลากหลายเรื่องอ่านได้ทุกวัยที่นี่ taleZZZ.com
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานกริมม์เรื่องทอมจิ๋ว (อังกฤษ: Tom Thumb) เป็นนิทานพื้นบ้านเก่าแก่ของยุโรป โดยเฉพาะในอังกฤษและเยอรมนี ถูกเล่าขานกันมายาวนานหลายศตวรรษ ก่อนจะถูกรวบรวมและบันทึกอย่างเป็นรูปธรรมในยุคต่อมา เนื้อเรื่องดั้งเดิมสะท้อนความเชื่อของผู้คนในยุคนั้นเกี่ยวกับเด็กตัวเล็กจิ๋วเหนือธรรมชาติที่เกิดจากพร ความปรารถนา หรือโชคชะตา
เมื่อเรื่องนี้ถูกเล่าในครอบครัวและชุมชนต่าง ๆ หลายรุ่นต่อกัน มักถูกแต่งเติมสีสันให้มีความขบขัน เช่น ฉากทอมจิ๋วขี่ม้าโดยไปนั่งในหูม้า ตะโกนสั่ง หรือฉากที่ผู้ใหญ่ตัวโต ๆ ต้องตกใจเพราะได้ยินเสียงเล็ก ๆ ดังมาจากที่คาดไม่ถึง ความตลกเหล่านี้ทำให้เรื่องเล่าฟังสนุก แต่ขณะเดียวกันก็แฝงคำสอนเรื่องปัญญา ไหวพริบ และการเอาตัวรอด
ภายหลังพี่น้องกริมม์ได้รวบรวมเรื่องเล่าเหล่านี้มาจัดระเบียบใหม่ในรูปวรรณกรรมในคอลเลกชันของเขาลำดับที่ 037 KHM ทำให้ “ทอมจิ๋ว” กลายเป็นนิทานสากลแพร่หลายไปทั่วโลก ฉบับกริมม์เก็บทั้งกลิ่นอายพื้นบ้าน ความตลกปนความระทึก และข้อคิดสำคัญว่า แม้ร่างกายจะเล็กเพียงใด แต่สติปัญญา ความกล้าหาญ และความรักจากครอบครัวย่อมนำพาให้ผ่านพ้นทุกการผจญภัยได้เสมอ
คติธรรม: “ตัวเล็กเพียงใดก็ออกผจญภัยได้ หากมีสติปัญญาและความกล้าหาญนำทาง เพราะโลกกว้างรอให้เราเรียนรู้เสมอ”

