ผู้คนมากมายมักมองว่า “ความแข็งแกร่ง” คือหนทางสู่ชัยชนะ แต่ในคำสอนของเต๋า กลับกล่าวว่าความอ่อนโยนต่างหากที่ทรงพลังที่สุด เพราะสิ่งที่อ่อนสามารถแทรกซึมผ่านสิ่งที่แข็งได้โดยไม่ต้องต่อสู้
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊อใช้สายน้ำและเด็กชายเป็นผู้เปิดเผยความจริงอันละเอียดอ่อนนี้ เรื่องราวที่สอนให้เข้าใจว่า “สิ่งที่อ่อน” หาใช่สิ่งที่อ่อนแอ หากแต่เป็นหนทางแห่งพลังอันแท้จริงในวิถีเต๋า กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องสิ่งที่ควรเชื่อ

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องสิ่งที่ควรเชื่อ
แดดบ่ายทอดยาวเหนือหุบเขา สายลมพัดกลิ่นหญ้าอ่อนผ่านผืนดินที่ชื้นจากฝนเมื่อคืน
เล่าจื๊อเดินทางตามลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลเอื่อย เสียงน้ำกระทบหินดังแผ่วเหมือนบทเพลงเก่าแก่ของโลก
เมื่อมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขาเห็นกลุ่มชาวบ้านนั่งพักอยู่ใต้ต้นไผ่ เด็ก ๆ วิ่งเล่นกันอยู่ริมธารแต่ในสายตาของเล่าจื๊อ มีเด็กชายคนหนึ่งโดดเด่นกว่าใคร เขาไม่ได้แค่เล่นน้ำ แต่สังเกตน้ำ
เด็กคนนั้นใช้ฝ่ามือตะล่อมน้ำให้รวมกันเป็นวงเล็ก ๆ แล้วค่อย ๆ ใช้ก้อนหินเล็กขวางร่องทางน้ำไว้
จากนั้นก็ถมดินข้างหนึ่ง ทำให้น้ำค่อย ๆ ไหลไปอีกทางอย่างช้า ๆ เมื่อกระแสน้ำเปลี่ยนทิศ เด็กก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยความดีใจ
ชายชราที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ หัวเราะลั่น “เจ้าทำไปเถอะลูก น้ำมันจะกลับมาเหมือนเดิม ไม่มีใครบังคับมันได้หรอก!”
แต่เด็กชายไม่ตอบ เขายังคงก้มหน้า ทำงานของตนต่ออย่างใจเย็น น้ำยังไหลไปตามร่องใหม่ที่เขาทำไว้ เสียงไหลนั้นฟังดูรื่นหูราวกับมันเต็มใจจะไปทางนั้นเอง
เล่าจื๊อหยุดยืนมองอยู่นาน รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้า ในความไร้เดียงสานั้น เขาเห็นบางสิ่งที่ผู้ใหญ่ทั้งหลายกลับมองไม่เห็น
เล่าจื๊อเดินเข้าไปใกล้ ถามด้วยเสียงนุ่ม “เจ้าทำอะไรอยู่หรือ เด็กน้อย”
เด็กชายเงยหน้าขึ้น ใบหน้ามีคราบน้ำกระเซ็นแต่แววตาใสแจ่ม “ข้าเล่นกับน้ำ มันอยากไหลไปไหน ข้าก็ช่วยให้มันไปทางนั้น”
ชาวบ้านอีกคนหัวเราะเสียงดัง “ช่วยมันหรือ? เจ้ากำลังสู้กับมันต่างหาก เดี๋ยวมันก็กลับมาเหมือนเดิม!”
เด็กชายส่ายหน้าเบา ๆ “ข้าไม่ได้สู้กับมัน ข้าแค่เล่นกับมัน”
เขาพูดพลางใช้เท้ากระโดดข้ามก้อนหินเล็ก แล้วปล่อยให้น้ำไหลวนรอบปลายเท้า กระแสน้ำหมุนเป็นวงเล็ก ๆ ก่อนแตกตัวกลับสู่ทางเดิมอย่างนุ่มนวล
เล่าจื๊อมองภาพนั้นอย่างเงียบงัน ไม่มีแรง ไม่มีการบังคับ มีเพียงการรับรู้ และการปล่อยให้สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามทางของมันเอง
เมื่อเด็กหยุดเล่น น้ำยังคงไหลต่อไปตามร่องที่เขาสร้างไว้ ไม่มีการบังคับ ไม่มีการขืน มีแต่การเคลื่อนไหวอย่างกลมกลืน
สายตาของเล่าจื๊ออ่อนโยน เขาเหมือนเห็นเงาของ “เต๋า” เคลื่อนไหวอยู่ในลำธารนั้นเอง
ในใจเขาผุดขึ้นว่า “ผู้ใหญ่ทั้งโลกพูดถึงสิ่งที่ควรเชื่อ… แต่เด็กคนนี้กำลังอยู่กับมันโดยไม่รู้ตัว”

ลมยามบ่ายพัดเอื่อยผ่านลำธาร เสียงไผ่เสียดสีดังกึกก้องเหมือนคำสนทนาของโลกที่ไม่ต้องใช้เสียงพูด
เล่าจื๊อนั่งลงบนโขดหิน มองน้ำที่ไหลผ่านร่องดินที่เด็กชายสร้างไว้ มันไม่ตรงนัก บางจุดมีหินขวาง บางช่วงขุ่นมัว แต่ถึงอย่างนั้น น้ำก็ยังไหลต่อไป
เขาพึมพำกับตนเองเบา ๆ “เต๋า… ก็เช่นนี้กระมัง ไม่ต้องสมบูรณ์ ไม่ต้องชนะใคร มันเพียงไหลไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด”
เด็กชายยืนอยู่ข้าง ๆ เงียบงัน เขามองน้ำด้วยรอยยิ้ม ไม่ต้องการคำชม ไม่ต้องการเหตุผล
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมผู้ใหญ่หัวเราะเมื่อเห็นเจ้าทำสิ่งนี้?” เล่าจื๊อถาม
เด็กชายส่ายหน้า “เพราะพวกเขาเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น แต่ข้าเชื่อในสิ่งที่น้ำทำ”
คำตอบนั้นทำให้เล่าจื๊อเงียบไป เขามองหน้าเด็กชาย เห็นประกายของบางสิ่งที่บริสุทธิ์และมั่นคงกว่าคำสอนใด ๆ เด็กคนนี้ไม่ได้เรียนเต๋า… แต่เขากลับเดินอยู่ในเต๋าโดยไม่ต้องรู้ชื่อมันเลย
เย็นวันนั้น แสงสุดท้ายของอาทิตย์ตกกระทบสายน้ำจนกลายเป็นสีทอง เล่าจื๊อลุกขึ้น เขาเอ่ยลาพร้อมรอยยิ้มบาง “เด็กน้อย เจ้าทำให้ข้ารู้ว่า สิ่งที่ควรเชื่อ ไม่ได้อยู่ในคำพูดของข้า แต่อยู่ในการเป็นของเจ้าเอง”
เด็กชายไม่เข้าใจนัก แต่เขายิ้มให้ชายชรา “ข้าแค่ชอบน้ำ มันไม่เคยสู้กับใครเลย”
เล่าจื๊อหัวเราะเบา ๆ “ใช่ มันอ่อนโยนที่สุด แต่กลับเอาชนะทุกสิ่งได้โดยไม่ต้องสู้”
เขาหันหลังเดินจากไป ชายเสื้อปลิวตามลม เสียงน้ำยังไหลตามหลัง ไม่รีบ ไม่ช้า
เขาคิดในใจ “ผู้ใหญ่ทั้งโลกพูดถึงสิ่งที่ควรเชื่อ พยายามนิยามมันด้วยถ้อยคำ แต่แท้จริง สิ่งที่ควรเชื่อ… ไม่ต้องพูดถึงเลย มันอยู่ในการเป็น ในการไหลของชีวิต ในการไม่ฝืน”
เมื่อลับหลังชายชรา เด็กชายยังคงเล่นอยู่ที่เดิม ใช้มือตะล่อมสายน้ำอีกครั้ง รอยยิ้มของเขาเปี่ยมด้วยความสงบ เหมือนเด็กคนหนึ่งกำลังสนทนากับจักรวาล

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความอ่อนโยนไม่ใช่ความอ่อนแอ และการไหลไปตามทางของธรรมชาตินั้น ไม่ได้หมายถึงการยอมแพ้ แต่คือการเข้าใจวิถีแห่งชีวิตอย่างลึกซึ้งที่สุด น้ำไม่ต่อสู้กับสิ่งใด แต่กลับเอาชนะได้ทุกสิ่งโดยไม่ต้องใช้แรง นี่คือแก่นของสิ่งที่ควรเชื่อ
ในเรื่อง เล่าจื๊อเห็นเด็กชายเพียงคนเดียวที่เข้าใจสิ่งนี้โดยไม่ต้องมีคำสอน เขาไม่ได้พยายามควบคุมสายน้ำ แต่เรียนรู้จากมันว่าความยืดหยุ่นและการยอมให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไปตามทางของมันเอง คือพลังแท้จริงของชีวิต ความแข็งพังทลายได้ง่าย แต่ความอ่อนโยนกลับคงอยู่เสมอ เหมือนน้ำที่ยังไหล แม้มีหินขวางทาง ความเชื่อที่แท้จึงไม่อยู่ในคำพูด หากแต่อยู่ในการเข้าใจจังหวะของโลก และดำเนินไปพร้อมกับมันอย่างกลมกลืน
อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสอนชีวิตผ่านปรัชญาวิถีเต๋าในรูปแบบนิทานอ่านง่าย ๆ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องสิ่งที่ควรเชื่อ (อังกฤษ: Things To Be Believed) นิทานเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 78 ซึ่งกล่าวถึง “พลังแห่งความอ่อนโยน” อันเป็นหัวใจของวิถีเต๋า เล่าจื๊อสอนว่า “ในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดอ่อนโยนและอ่อนแอกว่าน้ำ แต่ไม่มีสิ่งใดเอาชนะความแข็งแกร่งได้เท่าน้ำอีกแล้ว” เพราะความอ่อนโยนไม่ใช่การยอมแพ้ หากแต่คือการไม่ฝืนและไม่สู้ ทว่าแฝงไว้ด้วยพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ที่สุด เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:
สิ่งที่ควรเชื่อ
ไม่มีสิ่งใดในโลกที่อ่อนโยนและอ่อนแอเท่าน้ำ
แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่สามารถเอาชนะสิ่งแข็งแกร่งได้เท่าน้ำเช่นกัน
เพราะน้ำสามารถกัดกร่อน ทำลาย หรือเปลี่ยนรูปสิ่งที่แข็งได้ โดยไม่ต้องต่อสู้หรือใช้กำลังทุกคนในโลกต่างรู้ว่า “ความอ่อนเอาชนะความแข็ง”
“ความอ่อนแอเอาชนะความแข็งแรง”
แต่กลับไม่มีใครสามารถปฏิบัติตามได้จริงดังนั้นจึงมีคำกล่าวของปราชญ์ว่า
“ผู้ใดยอมรับความผิดของแผ่นดิน
ผู้นั้นจะได้เป็นผู้นำแห่งแท่นบูชา
ผู้ใดยอมรับความทุกข์แทนผู้คน
ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์โดยแท้”คำพูดที่เป็นความจริงแท้มักดูเหมือนเป็นคำพูดที่ขัดแย้งกับสามัญสำนึกของคนทั่วไป
โดยคำสอนนี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่เข้าใจธรรมชาติของ “น้ำ” ย่อมเข้าใจวิถีของเต๋าอย่างแท้จริง เพราะน้ำไม่เลือกทาง แต่ก็ไม่หยุดไหล มันอ่อนน้อมต่อทุกสิ่ง แต่กลับชนะได้โดยไม่ต้องต่อสู้ ความอ่อนโยนจึงเป็นหนทางแห่งผู้มีปัญญา เป็นพลังที่แทรกซึมได้ทุกที่โดยไม่ท้าทายใคร
นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อถ่ายทอดความหมายของคำสอนในบทนี้ ผ่านสายตาของเล่าจื๊อที่ได้เห็น “ความอ่อนโยนในความไร้เดียงสา” ของเด็กชายผู้เล่นกับสายน้ำ เด็กที่ไม่ได้พยายามเอาชนะ แต่กลับทำให้สิ่งรอบตัวไหลไปอย่างกลมกลืน
คติธรรม: “น้ำอ่อนโยนจนไม่มีสิ่งใดอ่อนเท่า แต่เพราะความอ่อนนั้นเอง มันจึงแทรกผ่านทุกสิ่งได้โดยไม่ต้องต่อสู้ ผู้ที่เข้าใจความอ่อน จึงไม่พ่ายแพ้ต่อความแข็งของโลก เพราะแท้จริงแล้ว ผู้ชนะคือผู้ที่ไม่จำเป็นต้องสู้”

