ในชีวิตเรามักจะยึดติดกับสิ่งต่าง ๆ ที่มองว่าเป็นความสำคัญ เช่น ตำแหน่ง, สมบัติ หรือแม้แต่ความเชื่อบางประการ แต่บางครั้งการยึดติดเหล่านั้นก็อาจทำให้เราไม่เห็นความจริงที่แท้จริงของชีวิต
มีนิทานเซนเรื่องหนึ่ง ที่เล่าถึงการมองโลกและชีวิตในแบบที่ไม่ยึดติดกับสิ่งใด เป็นการปล่อยวางและเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามที่มันเป็น โดยไม่ต้องการคำอธิบายที่ซับซ้อนหรือตัดสินความถูกผิด กับนิทานเซนเรื่องวิถีเซนของพระพุทธเจ้า

เนื้อเรื่องนิทานเซนเรื่องเซนของพระพุทธเจ้า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ วัดแห่งหนึ่ง ท่ามกลางความสงบของธรรมชาติและเสียงพัดของลมในสวน เร็นเด็กชายที่เติบโตในวัดได้มานั่งอยู่หน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่
ท่ามกลางความเงียบสงบของเช้าวันใหม่ เขานั่งไหว้พระอยู่ที่วัด และเขาเริ่มถามตัวเองว่า “พระพุทธเจ้ามองโลกและสิ่งต่างๆ อย่างไร?” ขณะที่เขานั่งคิด ใบไม้ร่วงลงจากต้นไม้เบื้องหน้า สัมผัสของลมทำให้เขาเริ่มสงสัยถึงสิ่งที่เขาคิดว่ารู้
วันหนึ่ง หลวงปู่ที่มาเยี่ยมวัดได้เดินเข้ามาหาเร็น ขณะที่เร็นยังคงจมอยู่กับคำถามในใจ หลวงปู่ยิ้มและพูดขึ้นว่า
“เจ้ามองเห็นสิ่งต่าง ๆ ราวกับมันมีค่า หรือเจ้ามองมันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไป?”
เร็นยิ้มและไม่ตอบ แต่ความสงสัยในใจเริ่มลึกซึ้งขึ้น
หลายวันต่อมา เร็นเดินเล่นในสวนและมองไปที่ท้องฟ้า ซึ่งมีเมฆลอยผ่านไปอย่างช้า ๆ เขาจึงเริ่มคิดถึงคำพูดของหลวงปู่เกี่ยวกับการมองเห็นทุกสิ่งเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไป
ในขณะนั้น หลวงปู่เดินเข้ามาใกล้และพูดขึ้นอีกครั้งว่า
“พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า… ข้าพเจ้ามองตำแหน่งของกษัตริย์และผู้ปกครองเป็นดั่งฝุ่นละออง สมบัติทองและอัญมณีเป็นดั่งอิฐและหิน ข้าพเจ้ามองโลกทั้งหลายเป็นเพียงเมล็ดพันธุ์เล็ก ๆ ของผลไม้ และทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียเป็นดั่งหยดน้ำบนเท้าของข้าพเจ้า”
เร็นมองไปยังหลวงปู่ด้วยความสงสัย “แล้วสิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมายเลยหรือ?” เขาถาม
หลวงปู่หัวเราะเบาๆ “ทุกสิ่งที่เรายึดมั่น เป็นเพียงภาพลวงตาและสิ่งที่ผ่านไปตามกาลเวลา เหมือนดั่งภาพมายากลที่เปลี่ยนแปลงไปทุกเวลา”

เร็นยังคงคิดถึงคำพูดของหลวงปู่ในวันต่อมา ขณะที่เขานั่งใต้ต้นไม้ในสวน เขาเริ่มเห็นว่าทุกสิ่งที่เขาเคยมองว่ามีค่า เช่น สมบัติ การตำแหน่ง และแม้แต่การกระทำของมนุษย์ ล้วนเป็นเพียงสิ่งที่ผันแปรไปตามฤดูกาลและเวลา
ในขณะที่เขานั่งสงบอยู่ หลวงปู่ก็เดินเข้ามาหา และพูดขึ้นอีกครั้งว่า
“พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า… ข้าพเจ้ามองว่าการทำสมาธิเป็นเสาหินบนภูเขา และนิพพานเป็นฝันร้ายในตอนกลางวัน” หลวงปู่พูดพร้อมรอยยิ้มที่ละมุน
เร็นรู้สึกถึงความสงบในคำพูดเหล่านั้น เขาหยุดถามตัวเองแล้วเริ่มนั่งมองต้นไม้และดินแดนที่เขาอยู่ โดยไม่ต้องพยายามหาคำตอบใด ๆ อีกต่อไป
ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นเพียงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติของมันเอง
เขาเริ่มตระหนักว่า ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบให้ทุกคำถาม ตราบใดที่สามารถเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นและปล่อยวางจากการยึดติด
วันหนึ่งในฤดูกาลที่เปลี่ยนไป เร็นเดินไปที่ริมแม่น้ำ ขณะที่ฝุ่นละอองและใบไม้ปลิวไหวไปตามลม เขาเห็นความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ น้ำไหลไปเรื่อย ๆ และดอกไม้ผลิบานตามฤดูกาล แต่สิ่งที่เขาสังเกตเห็นมากที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
หลวงปู่เดินตามเข้ามาและยิ้มให้กับเร็น ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“และพระพุทธเจ้าทรงตรัสอีกว่า… การตัดสินว่าอะไรถูกอะไรผิด เป็นดั่งการเต้นรำของมังกรที่คดเคี้ยว และการขึ้นและลงของความเชื่อเป็นเพียงร่องรอยที่หลงเหลือจากฤดูกาลทั้งสี่”
เร็นหยุดฟังและมองไปที่น้ำที่ไหลอย่างเงียบสงบ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ ความสงบในใจเขาเริ่มกลับมา เขาคิดได้ว่าทุกสิ่งในชีวิตนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ตลอดไป
หลวงปู่พูดต่อไปว่า
“ทุกสิ่งในโลกนี้เกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไป เหมือนการขึ้นและลงของฤดูกาล ทุกอย่างมีช่วงเวลาของมันเอง และการยึดติดหรือการตัดสินผิดถูก ก็เป็นแค่การเต้นรำของความคิดในจิตใจเท่านั้น”
เร็นเริ่มรู้สึกว่าเขาได้เรียนรู้สิ่งสำคัญจากคำพูดเหล่านี้ การไม่ยึดติดกับสิ่งใด ๆ และการปล่อยวาง คือทางที่จะนำไปสู่การเข้าใจความจริงที่แท้จริงของชีวิต

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ทุกสิ่งในชีวิตล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาและธรรมชาติ การยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือการตัดสินว่าอะไรถูกหรือผิดคือการหลงทางในภาพลวงตา เมื่อเรายอมรับและปล่อยวางจากสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ เราจะพบความสงบและความเข้าใจในชีวิตที่แท้จริง
เร็นได้เรียนรู้จากคำสอนของหลวงปู่ที่ว่าทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ไม่มีสิ่งใดที่ยืนยาวตลอดไป เช่นเดียวกับฤดูกาลที่หมุนเวียนเปลี่ยนไป เมื่อเขาหยุดยึดติดกับการตัดสินผิดถูก หรือการต้องมีคำตอบชัดเจน เขาก็เริ่มเข้าใจว่าการปล่อยวางจากสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้คือการทำให้ใจสงบ และการยอมรับในสิ่งที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติ คือหนทางสู่ความเข้าใจที่แท้จริงในชีวิต
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเซนเรื่องวิถีเซนของพระพุทธเจ้า (อังกฤษ: Buddha’s Zen) นิทานเรื่องนี้มาจากคำตรัสของพระพุทธเจ้า ที่เน้นถึงการมองโลกและสิ่งต่างๆ ด้วยความเข้าใจที่ปราศจากการยึดติด ไม่ว่าเป็นสมบัติ ตำแหน่ง หรือแม้แต่คำสอนต่าง ๆ ที่ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่คงทนและสำคัญ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทุกสิ่งในชีวิตและในจักรวาลมีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ การยึดติดหรือการพยายามหาคำตอบที่แน่ชัดคือการหลงอยู่ในภาพลวงตา
การตีความของนิทานนี้ถูกถ่ายทอดจากคำสอนในพระพุทธศาสนา ซึ่งมักใช้ในการสอนให้เข้าใจถึงการปล่อยวางและการไม่ยึดติดกับสิ่งใด ๆ ทั้งในโลกนี้และในคำสอน เพื่อให้สามารถเข้าถึงความสงบและความเข้าใจที่แท้จริง
คติธรรม: “การยึดติดกับสิ่งใดในชีวิต คือการผูกมัดตัวเองกับภาพลวงตาในฝัน การปล่อยวางคือการเปิดทางให้ใจพบกับความจริงที่ไม่ต้องการคำอธิบาย”