ในโลกที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและการแข่งขัน ผู้คนมากมายต่างไขว่คว้าหาสิ่งที่คิดว่าจะนำมาซึ่งความสุข แต่กลับหลงลืมไปว่า ความสุขที่แท้จริง อาจซ่อนอยู่ในสิ่งธรรมดาที่เรามองข้ามไป
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงหญิงขอทานผู้ไร้สมบัติ แต่กลับมีสิ่งหนึ่งที่แม้แต่กษัตริย์ยังยอมรับว่าเหนือค่ากว่าทองคำ นั่นคือใจที่รู้จักพอ และปัญญาที่มองเห็นคุณค่าของชีวิต กับนิทานชาดกเรื่องหญิงขอทานผู้ชาญฉลาด

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องหญิงขอทานผู้ชาญฉลาด
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในอาณาจักรอันสงบสุขแห่งหนึ่ง มีกษัตริย์และพระมเหสีที่ครองราชย์ด้วยความเมตตาและความยุติธรรม
ทั้งสองพระองค์ทรงห่วงใยทุกข์สุขของประชาชนเสมอ และมักเสด็จออกตรวจตราเมืองโดยไม่เปิดเผยพระองค์ เพื่อจะได้เห็นความเป็นอยู่ของผู้คนอย่างแท้จริง
วันหนึ่ง ขณะเสด็จผ่านประตูวัง พระมเหสีพลันสังเกตเห็นหญิงขอทานผู้หนึ่งนั่งอยู่ใกล้กำแพง
หญิงผู้นั้นสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ผิวพรรณหมองคล้ำเพราะแสงแดดและฝุ่นควัน แต่ที่สะดุดตาที่สุด กลับไม่ใช่ความยากจนของนาง หากเป็นรอยยิ้มอันสงบเย็นที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของหญิงนั้น
พระมเหสีจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปตรัสกับผู้ติดตามว่า “จงนำอาหารไปให้นาง ข้าอยากพบเธอ”
พระนางเสด็จลงจากรถและเดินเข้าไปหาหญิงขอทานด้วยพระองค์เอง นำข้าวและผลไม้บางอย่างใส่ถาดไปวางตรงหน้านาง หญิงขอทานรับอาหารด้วยความสุภาพ ก่อนจะกล่าวขอบคุณด้วยเสียงอ่อนนุ่ม “ขอบพระทัย พะยะค่ะ”
พระมเหสีทรงนั่งลงข้างหญิงขอทานอย่างไม่มีพิธีรีตองนัก แล้วตรัสด้วยความสงสัย “แม้ชีวิตเจ้าจะลำบาก แต่เจ้ากลับมีรอยยิ้มที่ดูสงบเย็นกว่าผู้มีทุกสิ่งในวัง ข้าขอถาม…เจ้าทำได้อย่างไร”
หญิงขอทานยิ้มอย่างเรียบง่าย ก่อนตอบว่า “ข้ายิ้ม…เพราะข้ารู้สึกโชคดีที่ยังมีลมหายใจ”
พระมเหสีประหลาดใจในคำตอบที่เรียบง่ายนั้น นางไม่ได้พูดถึงศรัทธาหรือโชคชะตา หากแต่เพียงขอบคุณการมีอยู่ของตนในโลกนี้
พระนางทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงตรัสเบา ๆ ว่า “เจ้าทำให้ข้ารู้ว่าข้าเองกลับหลงลืมสิ่งพื้นฐานที่สุดในชีวิต”
นับจากวันนั้น พระมเหสีมักเสด็จออกมาหาหญิงขอทานทุกเช้า ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการให้อาหาร หากเพราะต้องการฟังคำพูดที่เรียบง่ายแต่มีพลังจากหญิงผู้ไม่มีสิ่งใดครอบครอง

วันหนึ่ง พระราชาเสด็จกลับเข้าวังเร็วผิดปกติ ขณะเดินผ่านระเบียงชั้นบน พระองค์ทอดพระเนตรลงไปเห็นพระมเหสีกำลังตรัสกับหญิงขอทานอยู่ที่หน้าประตูวัง ทรงเห็นภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินจากไปเงียบ ๆ
เมื่อถึงยามค่ำ พระองค์ตรัสถามมเหสีว่า “เหตุใดเจ้าจึงใช้เวลาหลายวันติด ๆ กันพูดคุยกับหญิงผู้นั้น นางเป็นเพียงขอทาน แล้วเจ้าจะได้สิ่งใดจากนาง”
พระมเหสีไม่ตอบคำทันที แต่ทอดพระเนตรพระราชาด้วยสายตานิ่งสงบ แล้วตรัสว่า “หากพระองค์ยอมเสด็จไปพบด้วยพระองค์เอง พระองค์จะเข้าใจโดยไม่ต้องมีคำอธิบาย”
พระราชานิ่งเงียบ แต่ในใจกลับใคร่รู้ว่าหญิงขอทานผู้นั้นมีสิ่งใดที่แม้แต่มเหสีของพระองค์ยังยอมสละเวลาเพื่อฟัง
รุ่งขึ้น พระมเหสีเสด็จออกหน้าวังเช่นเคย แต่ครั้งนี้ พระราชาทรงร่วมเสด็จมาด้วยอย่างเงียบ ๆ
หญิงขอทานยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ใบหน้าอาบด้วยแสงแดดอ่อนยามเช้า เมื่อเห็นพระราชาและพระมเหสีเสด็จมา นางยกมือขึ้นประนมอย่างนอบน้อม
พระราชาทอดพระเนตรนางอย่างพินิจ แล้วตรัสว่า “เรารู้ว่าเจ้าลำบาก แต่เจ้ากลับดูสงบกว่าผู้มีทองคำเต็มห้อง เจ้าคิดสิ่งใดจึงมีใจมั่นคงถึงเพียงนี้”
หญิงขอทานยิ้มเบา ๆ ตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่มีสิ่งใดให้สูญเสีย จึงไม่มีสิ่งใดให้หวาดกลัว การมีชีวิตอยู่แต่ละวันคือของขวัญ การได้ตื่นขึ้นแล้วได้พบวันใหม่วันแล้ววันเล่าคือกำไรของชีวิตของข้าพเจ้า และการได้พบคนที่รับฟังคือความอุดมสมบูรณ์ที่สุดที่ข้าพเจ้ารู้จัก”
คำพูดนั้นประหนึ่งสายลมบางเบาที่พัดพาให้ใจคนหนักแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว พระราชาเงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะกล่าวเบา ๆ ว่า “เจ้าไม่ได้ยากจน… เจ้ามีทรัพย์ที่ผู้คนมากมายตามหาแต่ไม่พบ”
หลังจากวันนั้น พระราชาและพระมเหสีทรงมาพบหญิงขอทานบ่อยครั้ง ไม่ใช่ในฐานะผู้ให้และผู้รับ แต่อย่างมิตรแท้ที่แลกเปลี่ยนความคิดกันอย่างเท่าเทียม

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในสิ่งของที่เราครอบครอง แต่อยู่ในใจที่รู้จักพอ และรู้คุณค่าของชีวิต แม้ในวันที่ไม่มีอะไรเลย
หญิงขอทานในเรื่องนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงโลกภายนอก หากแต่เปลี่ยนแปลงความคิดของผู้มีอำนาจด้วยคำพูดที่เรียบง่ายและความสงบที่ไม่อวดอ้าง นางใช้ชีวิตอย่างไม่หวังสิ่งใดนอกจากการมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน รอยยิ้มของนางจึงไม่ใช่เพียงเครื่องประดับบนใบหน้า แต่คือผลลัพธ์ของใจที่ไม่หวั่นไหว
อ่านต่อ: อ่านนิทานชาดกที่มีทั้งความสนุกและแฝงข้อคิดจากหลักคำสอนในพุทธศาสนา
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องหญิงขอทานผู้ชาญฉลาด (อังกฤษ: The Wise Beggar Woman) จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นมนุษย์ มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงให้เห็นว่าปัญญา ความพอเพียง และความเข้าใจชีวิต ไม่ได้จำกัดอยู่ในฐานะหรือสถานะใด แม้ผู้ที่ไม่มีสิ่งใดครอบครอง ก็อาจมีหัวใจที่มั่นคงกว่าผู้ครอบครองทั้งแผ่นดิน
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อภิกษุบางรูปในวัดเริ่มหลงใหลในการสะสมของใช้และชื่อเสียง โดยเข้าใจผิดว่าความมั่งคั่งเป็นเครื่องวัดความสงบของจิต พระองค์จึงตรัสเล่าชาดกเรื่องนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าจิตที่พอเพียง คือสิ่งล้ำค่ากว่าอำนาจหรือสมบัติภายนอก
ในชาตินั้น พระองค์ทรงเสวยพระชาติเป็นหญิงขอทานผู้เปี่ยมด้วยความรู้สึกขอบคุณต่อชีวิต แม้จะยากจน แต่กลับมองเห็นสิ่งเล็ก ๆ อย่างแสงแดด กลิ่นลม และรอยยิ้มของผู้คนเป็นของขวัญแห่งการมีชีวิตอยู่ นางไม่เพียงทำให้พระมเหสีตื่นรู้ แต่ยังเปลี่ยนมุมมองของพระราชาผู้ครองแผ่นดิน ให้กลับมามองคุณค่าของชีวิตด้วยสายตาใหม่
ชาดกเรื่องนี้จึงเป็นกระจกเงาสะท้อนความจริง ในโลกที่เต็มไปด้วยการเปรียบเทียบและแสวงหา บางครั้งคนที่ไม่มีสิ่งใดเลยทางวัตถุ อาจมีบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่า… และเพียงพอแล้วสำหรับชีวิต
คติธรรม: “ผู้ที่รู้จักพอ ย่อมมีความสุข แม้ไร้ทรัพย์ ส่วนผู้ที่ไม่รู้จักพอ ย่อมเป็นทุกข์ แม้มีทุกอย่าง”