ในโลกที่เต็มไปด้วยทางตันและความเหน็ดเหนื่อย สิ่งแรกที่มักหายไปจากใจคน ไม่ใช่แรงกาย… แต่คือความหวัง
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงกลุ่มคนที่เกือบยอมแพ้กลางทะเลทราย แต่กลับค้นพบบางอย่างลึกลงไปใต้พื้นดิน และลึกกว่านั้นในหัวใจของตนเอง กับนิทานชาดกเรื่องแหล่งน้ำพุ

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องแหล่งน้ำพุ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพ่อค้าคนหนึ่งกำลังนำขบวนคาราวานของตนเดินทางข้ามทะเลทราย เพื่อนำสินค้าไปขายยังดินแดนห่างไกล ขบวนของเขาประกอบด้วยรถบรรทุกสัมภาระ ม้า ลา และผู้ร่วมทางอีกหลายสิบชีวิต
ในช่วงแรก ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น อากาศร้อนแต่ไม่รุนแรงจนเกินไป ผู้คนยังยิ้มแย้ม แม้จะเหนื่อยจากการเดินทาง แต่จิตใจก็ยังมั่นคง
จนกระทั่งวันหนึ่ง พวกเขาเข้าสู่เขตทะเลทรายที่แห้งแล้งและร้อนระอุยิ่งกว่าที่เคย น้ำที่เตรียมมาก็เริ่มร่อยหรอ พื้นดินร้อนจนแทบเหยียบไม่ได้ ลมที่พัดมาก็เหมือนเปลวไฟ
ไม่นานนัก ผู้คนเริ่มหมดแรง บางคนล้มลงกับพื้น บางคนหน้าแดงจากแดด บางคนเริ่มร้องไห้ออกมาด้วยความสิ้นหวัง
“เราจะตายกันหมดตรงนี้ใช่ไหม ไม่มีน้ำ ไม่มีร่มไม้ ไม่มีทางรอดแล้ว…”
“พวกเราควรกลับเถอะ อย่าฝืนไปอีกเลย…”
เสียงบ่น เสียงคร่ำครวญเริ่มกระจายไปทั่ว พ่อค้ามองไปรอบตัว เขาเองก็เหนื่อยไม่แพ้ใคร แต่ในใจของเขากลับคิดว่า
ถ้าเราท้อก่อน คนอื่นก็จะล้มตาม เราจะเป็นผู้นำที่หมดพลังไม่ได้ เราต้องยืนให้มั่นแม้ในวันที่ดินแตกระแหงที่สุด
ทันใดนั้น ดวงตาของพ่อค้าก็เหลือบไปเห็นบางสิ่ง… เป็นพุ่มหญ้าเล็ก ๆ ที่ขึ้นอยู่กลางผืนดินแห้งแตก เขารีบเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ใบหญ้ายังมีสีเขียวอ่อนสด รากเกาะแน่นอยู่ในดิน
“หญ้าขึ้นที่นี่… แสดงว่าต้องมีน้ำใต้ดิน!”
เขาตาเป็นประกาย รีบหันไปเรียกลูกคาราวานที่ยังพอมีแรง “ดูนี่! หญ้าขึ้นกลางทะเลทรายแบบนี้ไม่ได้ถ้าไม่มีน้ำใต้ดิน รีบมาช่วยกันขุดตรงนี้!”
คนที่สิ้นหวังก่อนหน้าเริ่มลุกขึ้นอย่างลังเล พวกเขารวมตัวกันใช้มือ ใช้ไม้ ใช้เสียมเล็ก ๆ ที่มีอยู่ ขุดลงไปตรงจุดที่มีหญ้า
พวกเขาขุดลึกลงไปเรื่อย ๆ จนในที่สุด เสียมกระแทกกับบางสิ่งแข็ง ๆ
“หิน!” เสียงหนึ่งร้องขึ้น
“ไม่มีน้ำเลย! มีแต่หินก้อนใหญ่!”
“เราเสียเวลาหรือเปล่า…”
หลายคนเริ่มจะหยุดมือ พ่อค้าเห็นดังนั้นจึงพูดเสียงแน่วแน่ “อย่าเพิ่งท้อ! ข้าเชื่อว่าข้างใต้ยังมีน้ำ เราขุดใกล้ถึงแล้ว! พวกเจ้าช่วยกันอีกนิด!”
เขาแนบหูลงกับก้อนหิน เงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นตาเบิกกว้าง “ข้าได้ยินเสียงน้ำ! มันอยู่ข้างใต้แน่นอน!”
ทันใดนั้น เขาหยิบค้อนเล็ก ๆ ที่พกติดตัวมาตีลงบนหินด้วยแรงมั่นใจ
กึก! กึก! เปรี๊ยะ! เสียงหินแตกร้าวดังขึ้น…

เมื่อค้อนกระทบลงบนหินครั้งแล้วครั้งเล่า รอยร้าวเริ่มแผ่กระจายออกไป เสียงดัง กร่อบๆ ดังขึ้นเบา ๆ ตามด้วยเสียงที่ทุกคนแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
ซ่าาาาา…
น้ำพุ่งทะลุจากรอยร้าวใต้หิน กลายเป็นสายธารเล็ก ๆ ที่ไหลออกมาไม่หยุด สะท้อนแสงแดดร้อนระอุเป็นประกายระยิบระยับ พ่อค้าและทุกคนในคาราวานยืนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงดีใจลั่นออกมา
“น้ำ! น้ำจริง ๆ!”
“พวกเรารอดแล้ว!”
“เจ้าดูสิ! น้ำใสเย็นไหลออกมาจากใต้หินเลย!”
บางคนรีบยื่นมือไปรอง บางคนใช้ผ้าชุบน้ำประคบหน้า บ้างก็นอนลงแนบพื้นอย่างหมดแรง แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
พ่อค้านั่งลงเงียบ ๆ ข้างแหล่งน้ำ ราวกับใช้ช่วงเวลานั้นกลั่นความรู้สึกทั้งหมดออกมาเป็นลมหายใจ เขาไม่ได้ร้องตะโกน ไม่ได้ฉลอง แต่ดวงตาเต็มไปด้วยแววแห่งความมุ่งมั่นที่ไม่ถูกกลืนหายไปในทะเลทราย
เมื่อทุกคนอิ่มน้ำ หายเหนื่อย และใจสงบลง พ่อค้าจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“สิ่งที่ทำให้เรามาถึงจุดนี้ ไม่ใช่โชค ไม่ใช่ความบังเอิญ… แต่คือความไม่ยอมแพ้”
ลูกคาราวานหลายคนพยักหน้า บางคนมองไปยังจุดที่เคยมีแต่ดินแห้ง กับหญ้ากอเล็ก ๆ ที่เปลี่ยนเป็นความหวังในวันที่ทุกคนสิ้นแรง
“ความสิ้นหวังไม่ใช่ศัตรูที่แท้จริง แต่คือการปล่อยให้มันปกคลุมใจเราโดยไม่มีใครยืนหยัดสู้กับมัน หากเรายังเชื่อ ยังลงมือ ยังช่วยกัน… แหล่งน้ำก็จะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม”
ขบวนคาราวานยังคงเดินหน้าต่อไปในวันรุ่งขึ้น แต่ไม่ใช่ด้วยร่างกายที่แข็งแรงเท่านั้น หากแต่เป็นจิตใจที่ได้รับการฟื้นฟูด้วยบทเรียนสำคัญจากกลางทะเลทราย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความหวังจะไม่มีวันตาย หากหัวใจยังไม่ยอมแพ้ ความยากลำบากในชีวิตอาจทำให้เราท้อแท้ แต่หากเราเชื่อมั่น ลงมือทำ และไม่ทอดทิ้งกันในยามลำบาก หนทางรอดย่อมปรากฏขึ้น แม้ในที่ที่ดูเหมือนไม่มีโอกาสเหลืออยู่เลย
พ่อค้าและคาราวานไม่ได้รอดเพราะโชคช่วย แต่เพราะไม่ยอมให้ความสิ้นหวังกลืนกินจิตใจ เขาเลือกจะเป็นความเชื่อให้คนอื่นยึดมั่น และสิ่งนั้นเองที่นำทางพวกเขาไปถึงแหล่งน้ำที่ซ่อนอยู่ใต้หินแข็งแห่งความพยายาม
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องแหล่งน้ำพุ (อังกฤษ: The Water Spring) จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นมนุษย์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงคุณธรรมด้านความเพียร ความกล้าหาญทางใจ และการเป็นผู้นำที่ยืนหยัดท่ามกลางความสิ้นหวังของหมู่คณะ
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นในครั้งที่มีภิกษุบางรูปท้อถอยระหว่างการบำเพ็ญเพียร บางรูปรู้สึกว่าตนไม่มีทางบรรลุธรรมเพราะอุปสรรคมากมาย พระองค์จึงตรัสชาดกเรื่องนี้เพื่อให้เห็นว่า ความสำเร็จมักซ่อนอยู่ภายใต้ความพยายามครั้งสุดท้ายที่เราอาจลังเลจะทำ หากใจยังไม่ท้อ โอกาสย่อมยังไม่จางหาย
ในชาตินั้น พระองค์ทรงเสวยพระชาติเป็นพ่อค้าผู้นำขบวนคาราวานเดินทางผ่านทะเลทราย เมื่อเกิดความแห้งแล้งและทุกคนสิ้นหวัง พระองค์มิได้ยอมแพ้ แต่ใช้ปัญญา ความสังเกต และความกล้าหาญ กระตุ้นให้ทุกคนลงมือขุดจนพบน้ำกลางทะเลทรายร้อนระอุ
ชาดกเรื่องนี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้สภาพแวดล้อมจะแห้งแล้งเพียงใด หากใจยังไม่หมดหวัง แหล่งน้ำแห่งชีวิตก็อาจซ่อนอยู่ไม่ไกลนัก
คติธรรม: “ความหวังไม่ได้ดับไปเพียงเพราะเราไม่เห็นทางออกในตอนนี้ แต่ดับลงเมื่อเราเลือกที่จะหยุดพยายาม หากเรายังเชื่อ ยังลงมือ และยังอดทน สิ่งที่เคยดูเป็นไปไม่ได้ ก็อาจกลายเป็นคำตอบที่รออยู่ใต้ผืนหินแห่งความเพียร”