ในโลกนี้ หลายคนพยายามยื้อชีวิตให้นานที่สุด หรือหลบเลี่ยงความตาย แต่คำสอนของเต๋าบอกว่า การอยู่กับชีวิตในแต่ละลมหายใจอย่างสงบและพอดี คือหนทางที่แท้จริงของชีวิต
มีนิทานเต้าเต๋อจิงบทหนึ่ง เล่าจื๊อถ่ายทอดเรื่องราวของหมอยุทธภพผู้เดินทางรักษาผู้คนทั่วแผ่นดิน แม้เผชิญอันตรายทั้งหลาย เขากลับดำเนินชีวิตอย่างสงบและมั่นคง โดยไม่ดิ้นรนหรือเร่งรัด นี่คือเรื่องราวที่สะท้อนแก่นของการดำเนินชีวิตตามหนทางแห่งเต๋า กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณค่าของชีวิต

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณค่าของชีวิต
ค่ำวันหนึ่ง ข้านั่งอยู่ใต้เงาไผ่ ลมพัดดังซู่ ๆ เสียงใบไผ่กระทบกันคล้ายเสียงขลุ่ยแห่งธรรมชาติ ข้ากำลังรำพึงถึงความเปลี่ยนแปลงของโลก เมื่อเงาร่างผู้หนึ่งปรากฏตรงประตูไม้เก่า ข้าจ้องดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพลันหัวเราะเบา ๆ
ใช่แล้ว เขาคือสหายเก่าผู้จากไปนานนับสิบปี
เขาก้าวเข้ามาช้า ๆ หลังค่อมเล็กน้อยจากความเหนื่อยล้าของการเดินทาง เสื้อคลุมยาวเต็มไปด้วยฝุ่นและรอยเย็บปะติด แต่แววตากลับแจ่มใสมั่นคงดังเดิม นั่นคือหมอพเนจรแห่งยุทธภพ ผู้รักษาชีวิตผู้คนมาทั่วแผ่นดิน
ครั้งยังหนุ่ม เขาเลือกละทิ้งความรุ่งโรจน์ของตระกูลนักรบ หันหลังให้เกียรติยศและตำแหน่ง เพื่อแบกห่อสมุนไพรออกเดินทางไปตามภูเขาและหมู่บ้านห่างไกล เขาไม่เคยมีเรือนเป็นหลักแหล่ง นอนในกระท่อมชาวนา พักในโรงเตี๊ยมชายแดน หรือบางคราวก็กลางป่า เขาใช้ชีวิตท่ามกลางความทุกข์และโรคภัยของผู้คน
เล่าลือกันว่า ที่ใดมีโรคระบาด เขาจะไปถึงก่อนข่าวจะแพร่ไปทั่ว; ที่ใดมีสงคราม เขาจะก้าวเข้าสนามรบเพื่อเยียวยาทั้งทหารและชาวบ้าน แม้แรดดุร้าย เสือโหดเหี้ยม หรืออาวุธคมในสมรภูมิ ต่างก็ไม่อาจพรากชีวิตเขาได้
เมื่อเขายืนอยู่ตรงหน้า ข้ารู้สึกดั่งกาลเวลามิได้พรากความเป็นสหายไปเลย ข้าพาเขามานั่งตรงลานหิน รินน้ำชาใส่ถ้วยดินเผา เสียงจักจั่นขับขานอยู่รอบตัว บรรยากาศนั้นเต็มไปด้วยความสงบแม้เราห่างหายกันนาน แต่เหมือนเราเพิ่งแยกกันเมื่อวานนี้เอง
ข้าจ้องมองร่างที่ผ่านพ้นพายุแห่งกาลเวลา จึงเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ “สหายเอ๋ย เจ้าผ่านทั้งโรคภัย สงคราม และอันตรายสารพัด เหตุใดเจ้าจึงยังคงยืนอยู่ได้อย่างสงบเช่นนี้? เจ้าปกป้องชีวิตตนอย่างไร?”
เขายกถ้วยชาขึ้นดื่ม แววตาไม่หวั่นไหว ริมฝีปากแย้มยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะตอบเสียงเรียบ “ข้ามิได้ปกป้องตนด้วยเกราะหนาหรือดาบคม ข้าเพียงดำเนินชีวิตตามที่มันเป็น มิหวงแหนเกินไป มิเร่งเร้าเกินไป หากมัวพยายามยืดชีวิตนัก ชีวิตกลับสั้นลง หากมัวคิดว่าต้องสละชีพเพื่อความหมายอันใด ชีวิตก็สิ้นเปลืองไปเปล่า ๆ ข้าเพียงเดินไปข้างหน้า รักษาผู้คน รักษาตนเองให้อยู่ในความพอดี ความตายก็หาที่แทรกมิได้”
เมื่อถ้อยคำจบลง ข้ารู้สึกราวกับได้ยินเสียงลมพัดผ่านหุบเขากว้าง สว่างใสอยู่ภายในใจ ข้าตระหนักว่าความสงบเยือกเย็นเช่นนี้ มิได้เกิดจากตำราหรือวิชาใด ๆ หากมาจากการเดินทางจริงและการใช้ชีวิตที่แนบสนิทกับสัจธรรม

คืนนั้น ลมหนาวพัดลอดเข้ามาตามร่องฝาไม้ เสียงใบไผ่เสียดสีกันดังคล้ายจะร่ายบทเพลงโบราณให้เราฟัง ข้ากับสหายนั่งตรงข้ามกัน ข้ารินชาเพิ่มให้เขา น้ำชาสีอำพันไหลรินลงในถ้วยดินเผา เสียงดังก้องเล็กน้อย แต่กลับชัดเจนในความเงียบของราตรี
เขายกถ้วยขึ้นจิบ แล้วทอดถอนใจเบา ๆ “สหายเอ๋ย… ข้าเดินทางรักษาผู้คนมาทั่วทั้งแผ่นดิน ได้พบทั้งเศรษฐีผู้มีทรัพย์ล้น กับชาวบ้านที่จนจนแทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ แต่สิ่งที่พวกเขามีเหมือนกัน คือความกลัวกลัวตายยิ่งกว่ากลัวเจ็บ”
เขาวางถ้วยชาลง ดวงตาหม่นลงแต่ยังคงสงบ “ในสิบคนที่ข้าเจอ สามคนใช้ชีวิตอย่างประหยัดแรงจนแทบไม่กล้าหายใจ เหมือนจะยืดชีวิต แต่กลับไม่เคยมีชีวิตอยู่จริง ๆ อีกสามคนกลับไม่เห็นค่าของชีวิต รีบเร่งหาความตายด้วยเหล้า ยา หรือดาบของตนเอง ส่วนอีกสามคน ถึงแม้จะบอกว่าอยากมีชีวิตยืนยาว แต่การกระทำกลับทำลายร่างกายและจิตใจ พวกเขาหักโหม ใช้ยาเกินควร หรือเสแสร้งว่ามีวิชาอายุยืน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความพยายามเกินพอดี จึงนำไปสู่ความตายในที่สุด”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แววตาฉายแสงประหลาด คล้ายจะบอกความลับที่สะสมไว้ชั่วชีวิต “และมีหนึ่งในสิบ… ผู้ที่อยู่กับชีวิตอย่างแท้จริง เขาไม่หนีความทุกข์ ไม่หวงความสุขเกินไป เขาไม่ผลักความตายออกไป แต่ก็ไม่เรียกมันเข้ามา เขาเดินไปข้างหน้าอย่างสงบ รักษาผู้คน รักษาตนเองตามครรลองที่ควรเป็น เมื่อใจไม่มีช่องโหว่ ความตายก็หาทางเข้ามิได้ ไม่ว่าเสือ แรด หรือดาบในสนามรบ”
เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ข้ารู้สึกราวกับภูเขาที่เงียบงันทั้งลูกถล่มลงในใจ แต่แทนที่จะเป็นความหวาดหวั่น มันกลับเป็นความสงบลึกที่ซึมซาบเข้ามา ข้าตระหนักว่า สหายมิได้เพียงเป็นหมอผู้รักษาร่างกาย หากยังเป็นผู้เยียวยาจิตวิญญาณผู้คนโดยที่ตนเองอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
เปลวไฟในตะเกียงริบหรี่ลงทุกที เงาของเราทอดยาวบนพื้นดินเย็นยะเยือก ข้าฟังสหายเล่าด้วยใจที่นิ่งสงบ ไม่มีความคิดใด ๆ จะแทรกมีเพียงการรับฟัง
เขายังคงเอ่ยต่อช้า ๆ คล้ายพูดกับตนเองมากกว่ากับข้า “ข้าเคยเดินผ่านสนามรบที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ผู้คนต่างร้องเรียกหาหมอ แต่ข้ากลับเดินเข้าไปโดยไม่รู้สึกว่าความตายอยู่ตรงหน้า เสือและแรดที่หุบเขาตะวันตก ข้าก็เคยเจอ แต่พวกมันมิได้ทำอันตรายข้า เหตุผลก็เพราะในใจข้าไม่มีที่ให้ความตายเข้ามาเกาะกุม เมื่อใจว่างพอ ความตายก็ไม่อาจยึดได้”
ข้านั่งฟังเงียบ ๆ ไม่ได้โต้แย้ง ไม่ได้สอดแทรกถ้อยสอน เพราะข้าเองก็รู้ว่า บทเรียนเช่นนี้มิได้มาจากตำรา หากมาจากร่องรอยชีวิตที่สหายเผชิญด้วยตัวเอง
เราสองคนปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่แทนถ้อยคำ ลมพัดใบไผ่ดังก้องยิ่งกว่าเสียงมนุษย์ นั่นแหละคือคำตอบที่ชัดเจนที่สุดชีวิตมิใช่สิ่งที่เราควรบีบคั้นหรือยืดออก แต่คือสิ่งที่ต้องอยู่ด้วยอย่างกลมกลืน เมื่อใครเข้าใจเช่นนั้น เขาย่อมเดินไปที่ใดก็สงบ และความตายก็ไม่อาจแตะต้องเขาได้
คืนนั้นเอง ข้าจึงจดจำถ้อยคำและภาพเงาของสหายไว้แน่นในใจ ข้าได้บันทึกถ่ายทอดลงในคัมภีร์ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ว่า คุณค่าของชีวิตมิได้วัดที่ยาวนาน แต่ที่ความพอดี และการดำเนินอย่างเป็นธรรมชาติในแต่ละลมหายใจ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… คุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่ความยาวนาน หากอยู่ที่การดำเนินอย่างพอดี รู้จักอยู่กับปัจจุบัน ไม่หวงแหนเกินไป และไม่เร่งรัดจนเกินควร เมื่อใจว่างพอจากความหวาดกลัวและความยึดติด ความตายก็ไม่อาจหาช่องเข้ามาครอบงำได้ ชีวิตเช่นนี้จึงสงบและมั่นคง ไม่ว่าสถานการณ์ใดจะผ่านเข้ามา
ในเรื่อง เล่าจื๊อเล่าถึงสหายแพทย์พเนจร ผู้เดินทางไปทั่วแผ่นดินรักษาผู้คน แม้ผ่านป่าที่เต็มไปด้วยเสือ หรือย่างกรายเข้าสู่แดนสงคราม เขาก็ไม่เคยบาดเจ็บหรือหวาดหวั่น เพราะเขาไม่แบกความกลัวหรือความทะยานอยากไว้ในใจ ศาสตร์ของเขามิใช่เพียงการเยียวยาร่างกายผู้อื่น แต่คือศิลปะแห่งการดูแลชีวิตตนเองให้ว่างจากเงื้อมมือแห่งความตาย
อ่านต่อ: เรียนรู้ปรัชญาเต๋าลึกซึ้งแบบเข้าใจง่าย ๆ ผ่านนิทานเต้าเต๋อจิงสั้น ๆ สนก ๆ ที่นี่ taleZZZ.com
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณค่าของชีวิต (อังกฤษ: The Value Set On Life) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 50 ซึ่งกล่าวถึง “คุณค่าของชีวิต” อันเป็นแก่นแท้ของวิถีเต๋า การเกิดและความตายเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง ผู้ที่รู้จักดำเนินชีวิตอย่างพอดี เข้าใจเวลาของชีวิตและความตาย ย่อมสามารถอยู่ร่วมกับสรรพสิ่งอย่างสงบและไม่หวาดกลัว เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:
คุณค่าของชีวิต
คนเราเกิดมาและมีชีวิตอยู่ จากนั้นก็จากไปเมื่อถึงคราวตาย
ในสิบคน จะมีสามคนเป็น “ผู้ดูแลชีวิตของตนเอง” อย่างดี และสามคนเป็น “ผู้ดูแลความตายของตนเอง”
ส่วนอีกสามคนในสิบ มีความตั้งใจอยากมีชีวิต แต่การกระทำของพวกเขากลับนำไปสู่ความตาย เหตุผลก็เพราะพวกเขาพยายามมากเกินไปที่จะยืดชีวิตให้ยาวนานแต่ผมเคยได้ยินว่า ผู้ที่ชำนาญในการดูแลชีวิตที่ได้รับมาในช่วงเวลานั้น
จะสามารถเดินทางไปไหนก็ได้โดยไม่ต้องกลัวแรดหรือเสือ
และแม้ต้องอยู่ในสนามรบก็ไม่ต้องหวาดกลัวเกราะหรืออาวุธคม
แรดไม่สามารถแทงเขี้ยวเข้าตัวเขาได้ เสือไม่สามารถเกี่ยวกรงเล็บเข้าตัวเขาได้ อาวุธก็ไม่สามารถแทงเข้าได้เพราะเหตุใด? เพราะในตัวเขาไม่มีช่องทางให้ความตายเข้ามา
โดยเล่าจื๊อสอนว่า ผู้ที่ชำนาญในการดูแลชีวิตของตนเอง จะเดินทางไปที่ใดก็ไม่หวั่นต่ออันตรายใด ๆ ทั้งจากสัตว์ร้ายหรืออาวุธ เพราะในใจของเขาไม่มีที่ว่างให้ความตายแทรกเข้ามา การอยู่กับชีวิตอย่างเต็มที่และไม่เร่งรัดเกินไป เป็นหนทางที่จะเข้าถึงความมั่นคงและสงบภายใน
นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว โดยเล่าผ่านสหายหมอยุทธภพผู้เดินทางทั่วแผ่นดินรักษาผู้คน แม้เผชิญทั้งเสือ แรด หรือสมรภูมิรุนแรง เขาก็ยังดำเนินชีวิตอย่างสงบ นี่คือภาพสะท้อนของการดูแลชีวิตอย่างแท้จริง ซึ่งเล่าจื๊ออยากให้ผู้คนได้ตระหนักและเรียนรู้
คติธรรม: “ผู้ที่รู้จักอยู่กับชีวิตอย่างเต็มที่ ไม่หวงแหนและไม่เร่งเร้า ความตายก็ไม่อาจแตะต้องได้”

