ปกนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องลูกเนรคุณ

นิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องลูกเนรคุณ

ในทุก ๆ หมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง มีเรื่องเล่านิทานพื้นบ้านไทยเรื่องหนึ่งที่ถูกถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น เรื่องราวของการเนรคุณและผลที่ตามมา ที่มักถูกเล่าผ่านบทเรียนจากการกระทำผิดของผู้ที่ไม่เห็นคุณค่าของผู้มีพระคุณ

ผู้ที่ลืมเลือนความดีของผู้ให้ชีวิตและการดูแล กลับมองเพียงผลประโยชน์ส่วนตัว จนถึงวันที่ความผิดนั้นย้อนกลับมาหาเขาเองอย่างไม่ทันตั้งตัว กับนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องลูกเนรคุณ

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องลูกเนรคุณ

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องลูกเนรคุณ

มียายแก่คนหนึ่งที่อายุมากแล้ว ร่างกายไม่ค่อยมีแรงทำอะไรเหมือนเมื่อก่อน ยายแก่ต้องพึ่งพาลูกชายและลูกสะใภ้ในการดูแล แต่ลูกสะใภ้ไม่ค่อยพอใจแม่ยาย ยิ่งเห็นยายแก่มากทำอะไรก็ช้า ลูกสะใภ้ก็เริ่มด่าว่าแม่ยายอยู่บ่อย ๆ

“แม่ยายทำอะไรก็ช้า ไม่ทันคนอื่นเลย” ลูกสะใภ้พูดออกมาด้วยความหงุดหงิด ขณะกำลังทำกับข้าว

ยายแก่ได้ยินก็พูดกลับว่า “ข้าก็ทำตามที่ทำได้ ลูกสะใภ้จะด่าว่าข้าทำไมกัน” แต่ลูกสะใภ้กลับไม่ตอบและทำอาหารให้ยายทานไม่ดี บางครั้งก็ใส่น้ำบ่อใส่ในน้ำแกงทำให้จืดเกินไป หรือบางครั้งก็เผ็ดเกินไป

วันหนึ่งเมื่อลูกชายกลับมาบ้าน ยายก็พูดกับลูกชายว่า “ลูกเอ๋ย สะใภ้ทำอาหารให้ข้าไม่ดีเลย บางครั้งจืด บางครั้งเผ็ด บางครั้งเค็ม” แต่ลูกชายกลับไม่เชื่อแม่

“แม่พูดไปเรื่อย ๆ แหละ สะใภ้ทำอาหารดีมากนี่นา” ลูกชายพูดแล้วขมวดคิ้ว ไม่ยอมเชื่อแม่

“แต่ข้าไม่สามารถทานได้ มันจืดเกินไปหรือเผ็ดไปหมด” ยายแก่ยังคงพูด

ลูกชายฟังแล้วจึงบ่นไปว่า “แม่แก่ปากเปียก พูดไปเรื่อย ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”

วันหนึ่ง ลูกชายและลูกสะใภ้ได้คิดตัดสินใจที่จะพาแม่ไปทิ้งในป่าช้า เพื่อให้แม่หมดภาระ พวกเขาห่อแม่ไว้ในเสื่อและเดินไปถึงป่าช้า

ลูกชายพูดกับภรรยาว่า “เราเอาแม่ไปทิ้งที่ป่าช้ากันเถอะ จะได้จบเรื่อง” ภรรยาก็พยักหน้ารับ

พอถึงป่าช้า ลูกสะใภ้ก็ลืมเอาไม้ขีดไฟ ลูกชายจึงบอกว่า “ภรรยาไปเอาไม้ขีดที่บ้านเถอะ เผื่อจะจุดไฟได้” แต่ภรรยากลับกลัว และบอกว่า “ไม่กล้าไปคนเดียวค่ะ” ลูกชายจึงตอบว่า “ข้าจะไปเอง”

แต่แล้วภรรยาก็ไม่ยอมให้สามีไปคนเดียว จึงพูดว่า “ไม่เอา ไม่ให้ไปคนเดียว กลัวค่ะ กลับบ้านกันเถอะ”

ทั้งสองจึงตัดสินใจกลับบ้านและทิ้งแม่ไว้ในป่าช้าโดยไม่ทำอะไร

หลังจากที่ทั้งสองกลับไปแล้ว ยายแก่ที่ถูกทิ้งไว้ในป่าช้าคลานออกจากเสื่อไปตามทาง เธอไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เธอเดินไปในป่าลึกเงียบสงัด โดยไม่มีใครรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องลูกเนรคุณ 2

ในขณะที่ยายแก่คลานออกจากเสื่อ เธอเดินไปในป่าลึกด้วยความอ่อนล้า ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนหรือจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ในขณะที่เดินอยู่ท่ามกลางความมืดมิดนั้นเอง ยายแก่ก็ได้ยินเสียงหัวเราะและการพูดคุยของพวกโจรที่เพิ่งปล้นบ้านคนในหมู่บ้านมา พวกโจรกำลังนั่งแบ่งเงินที่ปล้นมา

ยายแก่ไม่ได้รู้ว่าเป็นโจร แต่เมื่อได้ยินเสียงพวกนั้น เธอจึงพูดขึ้นด้วยเสียงที่แหบแห้งว่า “ไอ้คนเนรคุณ!”

ทันทีที่โจรได้ยินคำพูดนั้น พวกเขาก็ตกใจกลัว จึงรีบลุกขึ้นวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งเงินไว้มากมายจนกระจัดกระจายอยู่บนพื้น

ยายแก่เห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปเก็บเงินทั้งหมดมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพากลับไปที่บ้าน ยายคิดในใจว่า “โชคดีจริง ๆ ที่ข้าได้ยินเสียงพวกมันแล้วพูดออกไป”

เมื่อกลับถึงบ้าน ลูกชายเห็นแม่กลับมาพร้อมกับเงินมากมายจึงตกใจถามว่า “แม่ครับ ได้เงินจากไหนมาเยอะแยะ” ยายแก่ตอบด้วยท่าทีเรียบ ๆ ว่า “เงินนี้ข้าเก็บมาจากพวกโจรที่หนีไปทิ้งไว้ในป่า พวกมันกลัวข้าไปแล้วทิ้งเงินไว้มากมาย”

ลูกชายถามต่อว่า “แล้วทำไมแม่ไม่ให้ใช้ล่ะ แม่เก็บเงินไว้ทำไม”

ยายแก่ตอบว่า “เงินนี้ข้าให้ทั้งหมดแล้ว แต่ข้าฯ ไม่ต้องการอะไรจากมันหรอก ลูกเอาไปซื้อแม่มาให้สักคน ซื้อแม่คนไหนก็ได้ที่เขาขาย”

ลูกชายได้ยินแล้วก็งง ๆ “ซื้อแม่มา? ซื้อแม่ได้จริงหรือแม่” ยายแก่ไม่ตอบอะไรมาก แค่ยิ้มแล้วพูดว่า “ลองดูเถอะลูก”

ลูกชายคิดในใจว่า “ซื้อแม่มาไม่ได้แน่ แต่ลองไปหาซื้อแม่คนอื่นดูก็คงไม่ได้”

แต่แม่แก่ยังคงยืนยันให้ลูกชายเอาเงินไปซื้อแม่คนอื่นให้ได้ ลูกชายจึงตัดสินใจพาเงินไปหาซื้อแม่ที่เมืองต่าง ๆ แต่กลับพบว่าไม่มีใครขายแม่ให้ได้

เขาคิดไปคิดมาจึงกลับมาบ้านและพูดกับแม่ว่า “แม่ครับ ข้าหาซื้อแม่ตามที่แม่บอกไม่ได้เลยครับ”

แม่แก่ยิ้มให้ลูกชายแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นลองไปหาซื้อเมียดูบ้างสิ” ลูกชายฟังแล้วก็แปลกใจ แต่ก็ยังไปตามคำแม่ บอกว่าจะลองหาซื้อเมียตามที่แม่พูด

ลูกชายพาเงินไปหาซื้อเมียในตลาดและเมืองต่าง ๆ จนวันหนึ่งก็พบหญิงสาวคนหนึ่งที่ขายตัวและตัดสินใจซื้อเธอมาได้

เมื่อกลับถึงบ้าน ลูกชายบอกแม่ว่า “แม่ครับ ข้าหาซื้อเมียตามที่แม่บอกได้แล้วครับ” แม่แก่ยิ้มและพูดว่า “เห็นไหมล่ะ… ซื้อแม่ใครไม่ได้ แต่ซื้อเมียมาได้”

ฝ่ายภรรยาที่รู้ว่าเธอและสามีเคยทิ้งแม่ในป่าช้าและกลับได้รับเงินมากมายจากการกระทำของตนเอง จึงเริ่มคิดว่าหากสามีเผาแม่ได้ ทำไมจะไม่เผาตัวเองให้ได้เช่นกัน เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตดีขึ้นเหมือนแม่ยายที่ได้รับเงินจำนวนมากจากโจร

ภรรยาจึงบอกให้สามีพาตนไปเผาในป่าช้า โดยคิดว่าจะได้เหมือนแม่ยายที่ได้โชคจากการกระทำนี้ สามีก็ทำตามที่ภรรยาบอก พาภรรยาไปที่ป่าช้าและจุดไฟเผาภรรยาของตนเองจนเธอถูกไฟคลอกตายไปอย่างน่าสลด

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องลูกเนรคุณ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การเนรคุณและการไม่เห็นคุณค่าของผู้อื่นอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด เช่นเดียวกับลูกชายและลูกสะใภ้ที่ทิ้งแม่ไว้ในป่าช้าและคิดว่าแม่ไม่มีค่า แต่สุดท้ายกลับทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับการสูญเสียที่ตนเองไม่สามารถย้อนกลับได้ การตัดสินใจที่ขาดความกตัญญูไม่เพียงแต่ทำร้ายผู้อื่น แต่ยังย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองในที่สุด.

ลูกชายที่ทิ้งแม่ไว้ในป่าช้าและคิดว่าแม่ไร้ค่า แต่สุดท้ายกลับทำให้เขาต้องเสียทุกสิ่งไป เพราะคำตอบของความคิดผิดนั้นกลับย้อนมาทำร้ายตนเองในที่สุด เป็นการเตือนให้เราระลึกถึงคุณค่าของผู้ที่เลี้ยงดูเราและตอบแทนความดีด้วยความเคารพและการกระทำที่ดี

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องลูกเนรคุณ เป็นนิทานพื้นบ้านที่สะท้อนค่านิยมและความเชื่อของคนในสังคมไทย โดยเฉพาะในภาคใต้ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการเคารพและให้ความสำคัญกับผู้มีพระคุณ โดยเฉพาะพ่อแม่และผู้ใหญ่ในครอบครัว เรื่องนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการตอบแทนความดีและความรักที่ผู้ใหญ่ได้ให้กับเรา

การที่ลูกชายและลูกสะใภ้ทำการเนรคุณแม่ยาย จึงสะท้อนให้เห็นถึงการขาดความกตัญญู ที่อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดและยิ่งใหญ่ ทั้งนี้ในนิทานไทยหลายเรื่องมักจะใช้ “การลงโทษ” ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การต้องพบกับการพลิกผันหรือการสูญเสียอะไรบางอย่าง เพื่อให้บทเรียนกลับไปถึงผู้กระทำผิด

ในส่วนของการที่แม่ได้เก็บเงินจากโจร แล้วพูดคำว่า “ไอ้คนเนรคุณ” ที่ทำให้โจรตกใจหนีไปนั้น เป็นสัญลักษณ์ของการสะท้อนกลับ ของการกระทำที่ไม่ดีต่อผู้อื่น เมื่อทำร้ายผู้อื่นแล้วผลกลับมาสู่ตนเองโดยไม่รู้ตัว

นิทานเรื่องลูกเนรคุณเตือนให้รู้จักเคารพและตอบแทนผู้มีพระคุณในครอบครัว โดยเฉพาะในสังคมชนบทที่มีความเคารพและยึดถือการให้เกียรติผู้ใหญ่เป็นสิ่งสำคัญในวิถีชีวิต

“การเนรคุณผู้อื่น อาจนำมาซึ่งการสูญเสียที่ไม่มีวันได้คืน และผลของการขาดความเคารพจะกลับมาเล่นงานเราเองในที่สุด”