ในความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง บางครั้งสิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่การให้ แต่คือการกล้าขอ การกลัวจะทำลายความไว้ใจ ความกลัวที่จะเสียมิตรภาพ อาจทำให้เรายอมทนเงียบ ทั้งที่ใจยังเรียกร้อง
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงนักบวชกับพระราชา ผู้เป็นสหายที่เคารพรักกันอย่างยิ่ง แต่มิตรภาพนั้นก็ถูกทดสอบด้วยความลังเลใจเพียงเล็กน้อย และความกล้าที่ยิ่งใหญ่ ที่รอคอยมานานถึงสิบสองปี กับนิทานชาดกเรื่องร่มกับรองเท้าคู่เดียว

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องร่มกับรองเท้าคู่เดียว
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระราชาแห่งอาณาจักรใหญ่มีมิตรภาพลึกซึ้งกับนักบวชท่านหนึ่ง ผู้ซึ่งดำรงชีวิตเรียบง่าย มีปัญญา และละทางโลกมานาน วันหนึ่ง เมื่อนักบวชพำนักอยู่ในพระราชวังในฐานะแขกของพระราชา เขาเริ่มรู้สึกว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาควรกลับสู่อาศรมในป่า
แต่ในใจของเขา มีความกังวลบางอย่างซ่อนอยู่ เขาต้องเดินทางไกลท่ามกลางแดดจ้าและพื้นดินที่ร้อนระอุ เขาจึงคิดว่า หากมีร่มสักคัน กับรองเท้าคู่เดียว ก็คงช่วยให้การเดินทางไม่ลำบากเกินไป
อย่างไรก็ตาม เขาไม่กล้าเอ่ยปากขอจากพระราชา เพราะคิดว่า…
“ถ้าท่านปฏิเสธ ข้าคงเสียใจจนทนไม่ได้ และมิตรภาพของเราก็คงจะสิ้นสุดลง”
ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะเก็บความต้องการนั้นไว้ในใจอย่างเงียบงัน
วันเวลาค่อย ๆ ผ่านไป จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เวลาล่วงเลยถึงสิบสองปี นักบวชยังคงอยู่ในพระราชวัง โดยไม่เคยเอ่ยถึงความต้องการเล็ก ๆ ของตนแม้สักครั้งเดียว ส่วนพระราชาก็ยังไม่ล่วงรู้เลยว่า เพื่อนของพระองค์มีสิ่งใดค้างคาอยู่ในใจ
คืนหนึ่ง หลังจากสิบสองปีแห่งความเงียบ พระราชานั่งอยู่ในสวนหลวง ท่ามกลางแสงจันทร์และเสียงลมพัดเบา ๆ พระองค์ครุ่นคิดขึ้นมาว่า…
“มีบางสิ่งบางอย่างที่เพื่อนของเราปรารถนา แต่ไม่เคยพูดออกมาเลย หากเขาไม่กล้าขอ เราต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายหยิบยื่นให้ก่อน”
รุ่งเช้า พระราชาเดินไปหานักบวชในห้องพักของเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความตั้งใจแน่วแน่ แล้วกล่าวว่า
“ท่านอยู่กับเรามานานถึงสิบสองปี เรารู้ว่าท่านต้องการบางสิ่ง แต่ไม่กล้าบอกเรา ข้ายินดีมอบให้ท่านทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสมบัติ หรือแม้แต่บัลลังก์ของเราเอง”
นักบวชยิ้มบาง ๆ แล้วตอบด้วยเสียงสงบนิ่ง
“ข้าไม่ได้ต้องการราชสมบัติ สิ่งที่ข้าต้องการมีเพียงร่มกันแดด และรองเท้าคู่เดียวสำหรับการเดินทาง แต่ข้าไม่กล้าขอ เพราะกลัวว่าหากท่านปฏิเสธ ข้าจะเจ็บปวดเกินไป และมิตรภาพของเราจะพังลง”
เมื่อพระราชาได้ฟังเช่นนั้น พระองค์ถึงกับนิ่งไป แล้วรีบสั่งให้นำของที่นักบวชต้องการมาให้ทันที พร้อมทั้งกล่าวอำลาด้วยน้ำตา

เมื่อร่มและรองเท้าถูกนำมาถวาย นักบวชรับไว้อย่างอ่อนโยน เขาก้มศีรษะเล็กน้อย เป็นการแสดงความเคารพอย่างลึกซึ้ง
“ขอบพระคุณท่าน… ที่ไม่เพียงให้ในสิ่งที่ข้าต้องการ แต่ยังให้ด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริง”
พระราชามองดูเพื่อนของตนด้วยดวงตาแดงก่ำ ความรู้สึกผูกพันตลอดสิบสองปีไม่ได้เสื่อมลงเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม กลับยิ่งแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิม
“ข้าอยากให้ท่านรู้ว่า… ข้าไม่เคยต้องการสิ่งใดจากมิตรภาพของเราเลย นอกจากความจริงใจ”
นักบวชพยักหน้าช้า ๆ เขารู้ดีว่า การรักษาความสัมพันธ์โดยไม่ยึดติดกับผลตอบแทน คือสิ่งที่สูงค่าที่สุด
เช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนแสงอาทิตย์จะสาดลงทั่วท้องฟ้า นักบวชผูกเชือกรองเท้าท่ามกลางความเงียบสงบของสวนหลวง พระราชาเสด็จมาส่งเขาด้วยตนเอง ไม่มีพิธี ไม่มีทหาร ไม่มีราชโองการ มีเพียงเพื่อนสองคน และเสียงลมแผ่วเบา
“ดูแลตัวเองให้ดีนะเพื่อน” พระราชาพูดเบา ๆ แต่หนักแน่น
“เราจะพบกันอีก… หากไม่ใช่ในชาตินี้ ก็ในชาติถัดไป” นักบวชกล่าว พลางกางร่มสีซีดเหนือหัว แล้วหมุนกายอย่างสงบ
พระราชามองดูเงาหลังของเขาค่อย ๆ ลับไปตามแนวป่า ไม่มีถ้อยคำใดเอื้อนเอ่ยอีก มีเพียงความรู้สึกอิ่มเต็มในใจ เพราะบางครั้ง มิตรภาพแท้ก็ไม่ต้องพูดมาก แต่เข้าใจกันเสมอ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การรักษามิตรภาพด้วยความเคารพและระมัดระวัง เป็นคุณธรรมที่งดงาม แต่หากความเกรงใจกลายเป็นกำแพง ก็มักนำไปสู่ความเงียบที่บั่นทอนใจตนเอง การพูดจากใจอย่างจริงใจ ในเวลาที่เหมาะสม คือสะพานที่เชื่อมระหว่างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง
พระดาบส(นักบวช) แม้ต้องการเพียงสิ่งเล็กน้อยกลับเก็บเงียบไว้ถึงสิบสองปี เพราะกลัวเสียใจหากถูกปฏิเสธ และกลัวว่าจะทำลายมิตรภาพกับพระราชา แต่สุดท้าย พระราชากลับเต็มใจให้ทุกสิ่ง แม้กระทั่งราชสมบัติ เพราะเห็นค่าของมิตรแท้ที่ไม่หวังผลตอบแทน การสื่อสารด้วยใจจริง จึงเป็นของขวัญทั้งต่อผู้พูดและผู้ฟังในเวลาเดียวกัน
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องร่มกับรองเท้าคู่เดียว (อังกฤษ: The Umbrella and the Single-Soled Shoes) จัดอยู่ในหมวดมนุษย์ชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ ซึ่งสะท้อนถึงความละเอียดอ่อนในความสัมพันธ์และความกลัวที่จะสูญเสียมิตรภาพ จนบางครั้งทำให้เราลังเลที่จะพูดความต้องการของตัวเองออกไป
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสหธรรมิก แม้จะเดือดร้อนมาก เพราะเกรงว่าการเอ่ยปากขอจะทำลายความสัมพันธ์อันดี
พระองค์จึงตรัสเล่าถึงตอนที่เสวยชาติเป็นพระดาบสผู้เป็นสหายของพระราชา ซึ่งอดทนเงียบถึงสิบสองปีเพียงเพราะเกรงว่าคำปฏิเสธจะทำให้ความเป็นมิตรต้องจบลง แต่สุดท้าย เขากลับได้รับทุกสิ่งที่ต้องการ เพราะอีกฝ่ายเต็มใจจะให้แม้กระทั่งราชสมบัติ
ชาดกเรื่องนี้จึงสอนให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริงใจและศรัทธาต่อกัน ไม่ควรหวั่นไหวด้วยความกลัวที่ยังไม่เกิดขึ้น การกล้าสื่อสารด้วยความเคารพอาจเปิดโอกาสให้มิตรภาพลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม และความเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูด ก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของความเมตตาอย่างแท้จริง
คติธรรม: “การไม่กล้าขอสิ่งเล็กน้อยจากคนที่รักเรา อาจเป็นความทุกข์ที่ฝังลึกยิ่งกว่าการถูกปฏิเสธ”