บนโลกใบนี้ ทุกสิ่งล้วนมีคุณค่าในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กหรือใหญ่ บางสิ่งอาจดูไม่มีประโยชน์สำหรับบางคน แต่กลับกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับอีกคนหนึ่ง เช่นเดียวกับธรรมชาติที่มอบร่มเงาให้ผู้เดินทางโดยไม่ต้องเรียกร้องสิ่งใดตอบแทน
แต่เมื่อบางสิ่งไม่ได้ให้ในสิ่งที่เราคาดหวัง เรากลับมองข้ามคุณค่าของมันไปเราตัดสินว่าสิ่งใดมีค่าหรือไร้ประโยชน์เพียงเพราะมันไม่ได้ให้ในสิ่งที่เราต้องการ และนั่นคือบทเรียนสำคัญที่นักเดินทางสองคนกำลังจะได้เรียนรู้ กับนิทานอีสปเรื่องนักเดินทางกับต้นเพลน
เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องนักเดินทางกับต้นเพลน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กลางฤดูร้อน ดวงอาทิตย์แผดเผาแผ่นดินด้วยไอร้อนที่ระอุจนแผ่นดินแตกร้าว ไม่มีสายลมหรือเงาเมฆใด ๆ ที่จะมาช่วยบรรเทาความร้อนนี้ นักเดินทางสองคนกำลังเดินไปตามถนนฝุ่นทราย พวกเขาเดินทางมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง ท่ามกลางความร้อนระอุและความเหนื่อยล้าที่กัดกินพลังของพวกเขาไปเรื่อย ๆ
“ข้าแทบเดินต่อไม่ไหวแล้ว!” นักเดินทางคนหนึ่งบ่น พลางใช้หลังมือเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาตามขมับ “ดวงอาทิตย์วันนี้ช่างโหดร้ายนัก ราวกับจะเผาพวกเราให้เป็นเถ้าถ่าน!”
“อดทนหน่อยเถิดเพื่อน ข้าแน่ใจว่าหากเราเดินต่อไปอีกไม่นาน คงต้องเจอที่พักแน่ ๆ” เพื่อนของเขาปลอบ แต่ถึงกระนั้น เขาเองก็รู้สึกอ่อนล้าไม่แพ้กัน
ขาของพวกเขาหนักขึ้นทุกย่างก้าว แต่แล้ว สายตาของพวกเขาก็เหลือบไปเห็นเงามืดทอดลงบนพื้นดินเบื้องหน้า เมื่อลองเพ่งมองให้ชัดขึ้น พวกเขาก็พบว่ามันคือ ต้นเพลน ต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งก้านแผ่กว้าง ใบไม้หนาทึบทอดเงาปกคลุมพื้นดินด้านล่าง
“ข้าบอกแล้วว่าเราต้องเจอที่พักแน่ ๆ!” นักเดินทางคนหนึ่งร้องขึ้นด้วยความดีใจ
“ไปกันเถิด!”
พวกเขารีบเดินเข้าไปใต้ร่มเงาของต้นไม้ และทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นอย่างหมดแรง ลมเย็น ๆ พัดผ่านใบไม้เหนือศีรษะ ทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นอย่างมาก
“โอ้ นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในวันนี้เลย!” นักเดินทางคนหนึ่งกล่าวพร้อมถอนหายใจ “หากไม่มีต้นไม้นี้ ข้าคงเป็นลมไปแล้วแน่ ๆ!”
“จริงของเจ้า!” อีกคนกล่าว พลางเอนหลังพิงลำต้นแล้วหลับตาลง “ในวันที่ร้อนระอุเช่นนี้ ร่มเงาของต้นไม้เป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด!”
พวกเขานั่งพักกันอยู่ครู่ใหญ่ ลมหายใจเริ่มกลับมาเป็นปกติ เหงื่อที่ไหลซึมก็เริ่มแห้งไป
แต่แล้ว นักเดินทางคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองยอดไม้ และจู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า
“แต่ต้นไม้นี้ก็ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง ๆ! เจ้าคิดดูสิ มันไม่มีผลไม้ให้เรากินเลย! มีแต่ใบไม้เต็มไปหมด!”
เพื่อนของเขาพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นสิ ถ้ามันให้ผลไม้ด้วย เราคงได้ทั้งร่มเงาและอาหารพร้อมกัน แต่นี่มันเป็นเพียงต้นไม้ที่ให้ร่มเงาเท่านั้น!”
พวกเขาหัวเราะเบา ๆ พลางมองดูต้นไม้ที่ให้ร่มเงากับพวกเขาโดยไม่คิดขอบคุณเลย
แต่แล้ว…
เสียงกระซิบแผ่วเบาพัดมากับสายลม ใบไม้ไหวเอนเบา ๆ ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้นจากต้นไม้
“พวกเจ้าช่างหยาบคายเสียจริง เจ้าช่างไม่รู้คุณค่า ข้ามอบร่มเงาให้เจ้าในยามที่เจ้าต้องการ แต่เจ้ากลับกล่าวหาว่าข้าไร้ประโยชน์”
นักเดินทางทั้งสองสะดุ้งเฮือก พวกเขามองหน้ากันด้วยความตกใจ
“ข้า… ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นจริง ๆ!” คนหนึ่งกล่าวพลางก้มหน้าลง
“ข้าแค่พูดไปโดยไม่ทันคิด!” อีกคนรีบกล่าว
ต้นไม้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ
“เจ้าได้รับประโยชน์จากข้า แต่กลับมองข้ามมันไป เพราะข้าไม่ได้ให้ทุกอย่างที่เจ้าต้องการ เจ้าเรียกข้าว่าไร้ค่า แต่ลองคิดดูเถิด หากข้าไม่อยู่ที่นี่ เจ้าจะต้องเดินต่อไปในแดดร้อนโดยไม่มีที่พักพิงใด ๆ เจ้าจะยังคิดว่าข้าไร้ประโยชน์อยู่อีกหรือไม่?”
นักเดินทางนิ่งเงียบ พวกเขารู้สึกละอายใจ พวกเขามัวแต่เรียกร้องในสิ่งที่ไม่มี จนลืมไปว่าพวกเขาควรจะขอบคุณในสิ่งที่ได้รับ
“ข้าขอโทษ… ข้าไม่เคยคิดเลยว่าร่มเงานี้ก็เป็นพรอย่างหนึ่ง” คนหนึ่งกล่าวพลางก้มศีรษะ
“ใช่แล้ว ข้าขอถอนคำพูดของข้า ต้นไม้ต้นนี้มีค่ามากกว่าที่ข้าเคยคิด!”
ต้นไม้ไม่ได้กล่าวอะไรอีก มันเพียงแต่ปล่อยให้สายลมอ่อน ๆ พัดผ่านใบไม้เย็นสบาย ปลอบประโลมพวกเขาต่อไป
เมื่อพวกเขาพักจนหายเหนื่อย นักเดินทางทั้งสองก็ลุกขึ้น เตรียมตัวออกเดินทางต่อ
“จากนี้ไป ข้าจะไม่ตัดสินว่าสิ่งใดมีค่าเพียงเพราะมันไม่ได้ให้สิ่งที่ข้าต้องการทันที ขอบคุณเจ้ามาก ต้นไม้ใหญ่!”
และแล้วพวกเขาก็เดินจากไป พร้อมกับบทเรียนที่พวกเขาจะจดจำไปตลอดชีวิต
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “แม้บางสิ่งอาจดูเหมือนไม่มีค่า แต่แท้จริงแล้วมันอาจมีประโยชน์มากกว่าที่เราคิด และทุกสิ่งในโลกมีคุณค่าในตัวมันเองเสมอ แม้ว่าบางครั้งเราจะมองไม่เห็นก็ตาม”
นักเดินทางมองข้ามคุณค่าของต้นไม้เพียงเพราะมันไม่ได้ให้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการในขณะนั้น แต่เมื่อต้องเผชิญกับความร้อนระอุ ร่มเงาของต้นเพลนกลับกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่ช่วยให้พวกเขาได้พักพิง เช่นเดียวกับในชีวิตจริง บางครั้งเราอาจไม่เห็นคุณค่าของบางสิ่งหรือบางคน จนกระทั่งถึงเวลาที่เราต้องการมันจริง ๆ
“อย่าตัดสินคุณค่าของสิ่งใดเพียงเพราะมันไม่ได้ให้ทุกอย่างที่เราคาดหวัง” ไม่ใช่ทุกอย่างจะมีประโยชน์ในแบบที่เราต้องการ แต่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นไร้ค่า การรู้จักเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรามี คือกุญแจสำคัญสู่ความกตัญญูและความพึงพอใจในชีวิต
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานอีสปเรื่องนักเดินทางกับต้นเพลน (อังกฤษ: The Travellers and the Plane Tree) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 175 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานเรื่องนี้สามารถเปรียบเทียบกับนิทานอีสปเรื่องต้นวอลนัท(The Walnut Tree) ซึ่งมีแก่นเรื่องเกี่ยวกับความไม่รู้คุณต่อสิ่งที่ให้ประโยชน์
ในเรื่องนี้ต้นไม้ผู้ถูกลืมคุณค่า ในช่วงเที่ยงของวันฤดูร้อน กลุ่มนักเดินทางที่อ่อนล้าจากความร้อนแรงของดวงอาทิตย์ มองเห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง พวกเขาจึงเดินเข้าไปและนอนพักใต้ร่มเงาของมัน ขณะเอนกายใต้กิ่งก้านอันร่มรื่น พวกเขามองขึ้นไปที่ต้นไม้นั้นแล้วกล่าวต่อกันว่า “ต้นไม้นี้ไม่มีผลให้กิน มันจึงไม่มีประโยชน์อะไรต่อมนุษย์เลย” ต้นเพลนเอ่ยสวนขึ้นทันทีว่า “พวกเจ้าช่างเป็นพวกที่ไม่รู้คุณเสียจริง! เจ้ากล่าวหาว่าข้าไร้ค่าและไม่มีผลให้เจ้ากิน ทั้ง ๆ ที่ในตอนนี้ เจ้ากำลังอาศัยร่มเงาของข้าเพื่อพักพิง!”
แม้บุคคลจะปฏิบัติต่อเพื่อนบ้านด้วยความเมตตา ความดีของเขาก็ยังอาจถูกตั้งคำถามและถูกมองข้ามไปได้เสมอ