โลกและสรรพสิ่งล้วนดำเนินไปไม่หยุดนิ่ง จากความว่างเปล่าเกิดการมีอยู่ และจากการมีอยู่ก็คืนสู่ความว่างอีกครั้ง วงจรนี้คือหัวใจของเต๋า ที่แปรเปลี่ยนไม่รู้สิ้นและเกื้อหนุนทุกชีวิตให้คงอยู่
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊ออธิบายความลี้ลับของการแปรเปลี่ยน ผ่านเรื่องราวอันเรียบง่าย แต่สะท้อนให้เห็นพลังแท้จริงของหนทางแห่งเต๋า กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการแปรเปลี่ยนของวิถีเต๋า

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการแปรเปลี่ยนของวิถีเต๋า
หลังจากที่ข้าได้เดินทางผ่านความมืดและความสว่าง ข้าเงยหน้ามองสรรพสิ่งทั้งหลายรอบตัว เห็นการเกิดและการดับของทุกชีวิต รู้สึกถึงจังหวะและลมหายใจที่ผสานกันอย่างลึกล้ำ…
ข้าสังเกตสรรพสิ่ง กล่าวแก่พวกเจ้าด้วยน้ำเสียงของข้าเอง
“ข้าเห็นสรรพสิ่งทั้งหมดเกิดขึ้นจากหนึ่ง อันลึกลับและมืดมิด ทุกสิ่งยังไม่เป็นรูปร่าง ยังไม่มีชื่อ เสียงของมันเงียบสงัด แต่ลมหายใจแห่งความว่างไหลอยู่ทุกหนแห่ง ข้าได้เฝ้าดูมันไหลเวียน และรู้สึกถึงพลังที่ไม่มีที่สิ้นสุด”
จากหนึ่งนั้นเอง เกิดเป็นสอง พลังตรงข้ามปรากฏขึ้น ความสว่างและความมืด พลังทั้งสองไม่ต่อสู้ แต่เคลื่อนไหวสอดประสาน
“สองนี้คือความสว่างกับความมืด พลังหนึ่งนุ่มนวล อีกพลังหนึ่งดับมืด แต่ไม่บังคับ ไม่บีบบังคับซึ่งกันและกัน ข้าเห็นสิ่งต่าง ๆ เริ่มเคลื่อนไหวช้า ๆ เหมือนละอองหมอกที่ลอยไปตามลม”
ต่อมาสามเกิดขึ้น พลังทั้งสองถูกเชื่อมโยงเป็นสาม สิ่งเล็กสิ่งน้อยเริ่มมีรูปร่าง ต้นไม้แตกใบ ปลาแหวกว่าย น้ำไหลจากภูเขาสู่ทุ่ง ข้าเห็นสรรพสิ่งออกเดินทางจากความมืด บ้างใหญ่ขึ้น บ้างเล็กลง บ้างโค้งงอ บ้างตรงไป แต่ทั้งหมดสัมพันธ์กันผ่านลมหายใจแห่งความว่าง
“เจ้าจะเห็นว่าแม้บางสิ่งยังลังเลและกลัว มันก็ยังเคลื่อนไหวตามกฎแห่งธรรมชาติ พลังของมันไม่บังคับ ไม่ขัดขืน และนี่คือธรรมชาติของสรรพสิ่ง ทุกอย่างดำเนินไปตามทางของมันเอง”
ข้ายืนอยู่ท่ามกลางสายลมและแสงจาง ๆ ของความมืด ข้าสังเกตน้ำในลำธาร กระแสพัดพาใบไม้ และได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของสัตว์ในป่า
“แม้โลกภายนอกจะมืดหรือสว่าง ทุกสิ่งก็มีที่ของมันเอง บางอย่างดูเหมือนไม่สำคัญ แต่หากขาดไป สมดุลก็เสียไป ข้าจะสอนเจ้าว่าการเกิดขึ้นไม่ได้เริ่มจากใคร ไม่ได้จบที่ใคร แต่เกิดขึ้นจากหนึ่ง สู่สอง สู่สาม แล้วกลายเป็นสรรพสิ่ง”
ข้าก้าวตามสรรพสิ่งเหล่านั้น ข้าสังเกตทุกการเคลื่อนไหว
“ข้าเห็นสิ่งต่าง ๆ เคลื่อนจากความมืดไปสู่ความสว่าง บ้างเติบโตอย่างสมบูรณ์ บ้างขาดบางส่วน แต่ไม่มีสิ่งใดสูญเปล่า ลมหายใจแห่งความว่างผสานพวกมันเข้าด้วยกัน สิ่งที่ขาดยังมีค่า สิ่งที่เกินยังมีบทบาท”
ข้าหยุดกลางลำธารมองปลาและใบไม้ที่ลอยไปตามกระแสน้ำ
“พวกเจ้าจะเห็นว่า การเติบโตไม่ได้อยู่ที่ความเร็ว ไม่ได้อยู่ที่การเร่งรัด การสลายไม่ได้แปลว่าการสูญเสีย ทุกสิ่งมีทางของมันเอง และสิ่งที่ดูเหมือนอ่อนแอ บางครั้งกลับมีความสำคัญที่สุด”
แสงสว่างค่อย ๆ แผ่ปกคลุมทุกสิ่ง
“ข้าเห็นว่าเมื่อสรรพสิ่งเคลื่อนไปตามลมหายใจแห่งความว่าง มันไม่จำเป็นต้องขัดขืน หรือพยายามฝืนธรรมชาติ พลังของความมืดและความสว่างจะสอดคล้องกันเอง ทุกสิ่งมีบทบาทของตน แม้เล็กน้อยหรือบอบบาง ก็สมบูรณ์ในแบบของมัน”
ข้ายกมือขึ้นชี้ไปยังฟ้า
“นี่คือหนทางของเต๋า การเกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลง และการสมดุล ข้าเห็นแล้ว จึงบอกเจ้า…จักรวาลนี้ไม่ต้องเร่งรีบ แต่เดินทางอย่างช้า ๆ อย่างมั่นคง และทุกการเคลื่อนไหวมีเหตุผล”

ข้ายืนอยู่บนเนินเขาสูง มองสรรพสิ่งที่เคลื่อนไปตามกระแสลมหายใจแห่งความว่าง
“ข้าเห็นสรรพสิ่งบางอย่างเร่งรีบ อยากไปให้ถึงความสว่างก่อน ขณะที่บางสิ่งยืนอยู่กลางทาง เหมือนลังเลไม่รู้จะไปทางใด ข้าสังเกตและพูดกับมันว่า…”
“เจ้าจงสังเกตตัวเองและผู้อื่น อย่ารีบร้อน อย่าเพิ่งท้อ ข้าเห็นแล้วว่า ความสมบูรณ์เกิดจากการเคลื่อนไหวตามกฎแห่งเต๋า ไม่ใช่จากการบังคับหรือเร่งรีบ”
ข้าเห็นสรรพสิ่งที่แตกต่างกัน เคลื่อนไปในจังหวะต่างกัน บ้างใหญ่ บ้างเล็ก บ้างตรง บ้างคดเคี้ยว แต่ทุกสิ่งยังสัมพันธ์กันด้วยลมหายใจแห่งความว่าง
“บางสิ่งอาจคิดว่าตัวเองเล็กและอ่อนแอ แต่ความอ่อนแอนั้นเองกลับเป็นส่วนหนึ่งของความสมบูรณ์ บางสิ่งที่ดูแข็งแรงเกินไป กลับถูกลดบทบาทลงโดยธรรมชาติ ข้าเห็นแล้ว ทุกสิ่งมีบทบาทของตนเอง”
ข้ายืนเงียบ ฟังเสียงลม ใบไม้ และน้ำไหล ผสานกับการเคลื่อนไหวของสรรพสิ่ง ข้าเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ได้มีจุดจบ แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับความสมดุล
ข้ากล่าวแก่ผู้อ่านเป็นครั้งสุดท้าย
“เจ้าจะเห็นว่า แสงและความมืด แม้แตกต่าง แต่สอดคล้องกันเอง การเกิดขึ้น การสลาย ไม่ใช่สิ่งที่ต้องบังคับ แต่เป็นธรรมชาติที่ดำเนินอย่างเงียบงัน สรรพสิ่งแต่ละอย่างมีบทบาทและคุณค่า”
ข้ายืนกลางป่า มองภูเขา แม่น้ำ และทุ่งนา แสงเย็นของดวงอาทิตย์ตกค่อย ๆ ปกคลุมทุกสิ่ง
“ข้าสอนเช่นนี้ เพราะข้าเห็นแล้วว่าความสมดุลเกิดขึ้นเอง ไม่ต้องพยายามทำให้ใครเหมือนใคร ทุกสิ่งมีเส้นทางของมันเอง และนี่คือหนทางของเต๋า”
ข้ายิ้มเบา ๆ แล้วกล่าวในใจ
“ข้าต้องขอบคุณทุกสิ่งที่ทำให้เกิดบทนี้ขึ้นมา… ขอบคุณสรรพสิ่ง ขอบคุณลมหายใจแห่งความว่าง ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เจ้ามาเจอสิ่งที่ข้าเขียน และขอบคุณเจ้าที่อ่านเรื่องราวนี้”
ข้าเงยหน้ามองฟ้า มองสิ่งที่อยู่เหนือหัวไร้ที่สิ้นสุด สงบ และรู้ว่าทุกการเปลี่ยนแปลง ทุกความแตกต่าง ทุกความเหมือน ล้วนเชื่อมโยงและสมบูรณ์ในตัวเอง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.. สิ่งที่ดูยิ่งใหญ่แข็งแรงอาจไม่ยืนยาว แต่สิ่งที่ดูอ่อนน้อมต่ำต้อยกลับคงทนและดำรงอยู่ได้จริง ความล้ำค่าของชีวิตจึงมิได้อยู่ที่การครอบครองหรือแสดงอำนาจ หากอยู่ที่การรู้จักถ่อมตนและโอนอ่อนเข้ากับเส้นทางของธรรมชาติ เพราะการเปลี่ยนแปลงคือเรื่องปกติธรรมดาของธรรมชาติ นี่แหละคือการแปรเปลี่ยนของวิถีเต๋า
ในนิทาน ท่านเล่าจื๊อสอนผ่านการเปรียบเปรยถึงความเพิ่มที่มาจากการลด และความสูญเสียที่เกิดจากการพยายามได้มากเกินไป ชี้ให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว ความแข็งกร้าวย่อมทำให้สิ้นไปก่อนเวลา แต่ความอ่อนน้อมถ่อมตนกลับเป็นพลังที่คงอยู่ได้ชั่วนาน
อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสอดแทรกปรัชญาชีวิตแห่งวิถีเต๋าในรูปแบบนิทานอ่านง่าย ๆ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการแปรเปลี่ยนของวิถีเต๋า (อังกฤษ: The Transformations of the Dao) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 42 ซึ่งกล่าวถึงกำเนิดของสรรพสิ่ง “เต๋าก่อกำเนิดหนึ่ง หนึ่งก่อกำเนิดสอง สองก่อกำเนิดสาม และสามก่อกำเนิดสรรพสิ่งทั้งหลาย” เล่าจื๊ออธิบายถึงการไหลเวียนและการแปรเปลี่ยนที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ทุกสิ่งมีต้นกำเนิดจากความว่างและความเร้นลับ ก่อนจะเคลื่อนไปสู่ความสว่างและสมดุลในลมหายใจเดียวกันของจักรวาล เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:
การเปลี่ยนแปลงของเต๋า
เต๋าให้กำเนิด “หนึ่ง”
หนึ่งให้กำเนิด “สอง”
สองให้กำเนิด “สาม”
และสามให้กำเนิดสรรพสิ่งทั้งปวงทุกสรรพสิ่งต่างละทิ้งความมืดที่ตนถือกำเนิดมา
แล้วเคลื่อนไปสู่ความสว่างเบื้องหน้า
แต่ทั้งหมดก็ยังคงเชื่อมประสานกลมกลืน
ด้วยลมหายใจแห่งความว่างโดยทั่วไป ผู้คนรังเกียจการถูกเรียกว่า “กำพร้า” “ผู้มีคุณธรรมน้อย” หรือ “เกวียนไร้ดุม”
แต่กษัตริย์และเจ้าแผ่นดิน กลับยกเอาคำเหล่านี้มาใช้เรียกตนเองเพราะแท้จริงแล้ว บางสิ่งยิ่งถูกลดทอน กลับยิ่งเจริญงอกงาม
และบางสิ่งยิ่งถูกเพิ่มพูน กลับยิ่งเสื่อมถอยลงสิ่งที่ผู้อื่นสอน ข้าพเจ้าก็สอนเช่นเดียวกัน
ผู้ใดใช้ความรุนแรงและแข็งกร้าว ย่อมไม่ตายอย่างเป็นธรรมชาติ
นี่คือรากฐานคำสอนของข้าพเจ้า
เล่าจื๊อสอนว่า ความจริงแท้ของโลกไม่ได้อยู่ที่ความยิ่งใหญ่หรือการครอบครองมากมาย แต่กลับอยู่ในความอ่อนน้อมและการรู้จักว่างเปล่า บางสิ่งยิ่งเติมกลับยิ่งพร่อง บางสิ่งยิ่งลดกลับยิ่งเต็ม และผู้ที่แข็งกร้าวรุนแรงมักไม่อาจมีจุดจบที่สงบงามได้ ดังนั้น ผู้ที่เข้าใจการแปรเปลี่ยนของเต๋าจึงเรียนรู้ที่จะไม่ฝืน แต่เดินไปตามจังหวะของธรรมชาติ
นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว โดยเปรียบความลับของจักรวาลกับการเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนย้อนแย้ง หรือเรียกได้ว่าบทนี้เป็นฟิสิกส์ยุคโบราณเลยก็ว่าได้ แต่แท้จริงกลับกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว ทุกชีวิตที่ก่อกำเนิด เติบโต และดับสูญ ต่างดำเนินไปตามสายใยแห่งเต๋า และนี่คือหัวใจของ “การแปรเปลี่ยนของเต๋า” ที่เล่าจื๊ออยากฝากไว้ให้ผู้คนได้เรียนรู้ ว่าทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอแม้แต่วิถีเต๋าเอง
คติธรรม: “สิ่งทั้งหลายดำรงอยู่ได้เพราะการเปลี่ยนแปลง ผู้ที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลง ย่อมอยู่ร่วมกับโลกได้อย่างสงบและยั่งยืน”

