ในบรรดานิทานชาดกมากมายที่เล่าขานกันมาแต่ครั้งพุทธกาล มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่งที่ให้บทเรียนอย่างเรียบง่าย แต่ทรงพลังยิ่งเรื่องของพ่อค้ากับบุตรชาย ที่ต้องเผชิญหน้ากับอสูรร้ายในบ้านร้างกลางป่า
แม้เหตุการณ์จะดูเล็กน้อยเพียงแค่การจามและคำอวยพร แต่กลับกลายเป็นจุดชี้ชะตาชีวิต ความรอดของพวกเขามิได้ขึ้นอยู่กับโชค หากเกิดจากสติ ความใส่ใจ และความไม่ประมาทในทุกถ้อยคำที่เปล่งออกมา กับนิทานชาดกเรื่องพ่อค้ากับอสูร

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องพ่อค้ากับอสูร
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ริมชายป่าลึก ซึ่งกิ่งไม้สั่นไหวอย่างช้า ๆ ตามเสียงลมยามสาย ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินอย่างมั่นคง ข้างกายเขาคือลูกชายผู้แบกสัมภาระ แม้เหนื่อยล้าแต่ก็ไม่ปริปากบ่น
ทั้งสองคือพ่อค้าวาณิช ผู้เดินทางจากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง เพื่อค้าขายแลกเปลี่ยนของใช้จำเป็นในวิถีเรียบง่ายตามทางเก่าแก่ที่ว่างเปล่า
คืนนั้นเอง ขณะที่ฟ้ากำลังคลี่ม่านเทาเข้มลงปกคลุม ทั้งสองพบบ้านร้างอยู่ริมทาง พอเหมาะแก่การพักแรม
“เราจะพักที่นี่กันเถิด ลูกเอ๋ย” ชายผู้เป็นพ่อกล่าวอย่างอ่อนแรง
ลูกชายมองไปรอบ ๆ แม้ใจจะหวั่นเล็กน้อย แต่ก็ไม่อยากขัด จึงพยักหน้าเบา ๆ และช่วยกันก่อไฟ พักผ่อนใต้เพิงเก่าของบ้านร้าง
ไม่นานนัก ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในแสงไฟ เขามีใบหน้าผ่ายผอม ดวงตาลึกแต่เต็มด้วยเมตตา
“ท่านทั้งสองจะพักที่นี่หรือ?” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “โปรดระวังเถิด บ้านหลังนี้มีอสูรอาศัยอยู่”
พ่อกับลูกสบตากันเงียบ ๆ
“แต่มันไม่สามารถทำอันตรายผู้ใดได้ง่าย ๆ” ชายแปลกหน้ากล่าวต่อ “มันได้รับพรจากราชาผู้หนึ่ง ว่าหากมีมนุษย์สองคนอยู่ในบ้านนี้ แล้วฝ่ายหนึ่งจาม อีกฝ่ายต้องอวยพรว่า ‘ขอให้มีอายุยืน’ หากไม่พูดเช่นนั้น มันจะมีสิทธิ์กินผู้ที่ไม่เอ่ยถ้อยคำ”
พูดจบ ชายผู้นั้นก็หายไปในความมืด ราวกับเงา
สายลมเย็นแผ่วผ่านหน้าต่างไม้ที่แตก ไฟยังคงลุกไหว แต่ในใจของทั้งคู่กลับเริ่มสั่นไหวอย่างประหลาด
คืนคืบคลานเข้ามาอย่างช้า ๆ ขณะเงียบสงัด มีเสียง “ฮัดเช้ย!” ดังขึ้น พ่อจามขึ้นเบา ๆ
ลูกชายที่กำลังครุ่นคิดเรื่องอื่น หันมามองทันที แต่ปากกลับนิ่งสนิท
อากาศหยุดนิ่ง เงามืดในมุมบ้านขยับ
จากเงานั้น ร่างสูงใหญ่ประหลาดปรากฏขึ้นทีละน้อย ผิวคล้ำดั่งเขม่า ดวงตาแดงฉานดั่งถ่านไฟ
อสูรย่างเท้าเข้ามาช้า ๆ “กฎคือกฎ” เสียงมันแผ่วราวกับมาจากใต้พื้น “เจ้าจาม แต่เขาไม่อวยพร ข้าได้รับสิทธิ์แล้ว”

ลูกชายที่นั่งใกล้เตียงฟางพลันหันขวับ เบื้องหน้าเขา อสูรกำลังก้าวช้า ๆ จากเงามืด ฝ่าไฟที่เริ่มมอดลง
แสงจากกองไฟส่องให้เห็นฟันของมันขาววับ ปากแสยะ ยาวและแหลม ดวงตาลูกชายเบิกกว้าง เมื่อเข้าใจในเสี้ยววินาทีว่าเขาลืมสิ่งสำคัญ
“ขอให้บิดามีอายุยืนยาวเถิด!” เขาร้องทันที น้ำเสียงเปี่ยมด้วยสติและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน
อสูรหยุดกึก ดวงตาเปล่งประกายสีไฟ แล้วหันไปมองชายผู้เป็นพ่อ
มันครางต่ำ ๆ ราวกับผิดหวัง “เขาเอ่ยช้าไป… แต่ท่านยังมิได้ตอบกลับ” อสูรหันมายังพ่อ พร้อมย่างเท้าหนึ่งก้าว
พ่อหลับตาชั่วครู่ สูดลมหายใจลึก ก่อนจะกล่าวเสียงนิ่ง “ขอให้เจ้ามีอายุยืนยาวเช่นกัน ลูกเอ๋ย”
สิ้นคำนั้น เหมือนสายลมร้อนแรงพัดผ่านห้อง
อสูรชะงัก ใบหน้าที่น่าเกลียดบิดเบี้ยวเล็กน้อย ก่อนจะแหงนหน้าร้องเสียงต่ำ “อีกแล้ว… พวกเจ้ารอดอีกแล้ว”
มันหมุนตัวกลับ กลืนหายไปในเงาอย่างรวดเร็ว ราวกับไม่เคยมีตัวตน
บรรยากาศสงบนิ่งอีกครั้ง ลูกชายก้มหน้าลงอย่างสำนึก ผิวใต้ดวงตาสั่นระริก “ข้าขอโทษ พ่อ ข้าเกือบทำให้ท่านตกอยู่ในอันตราย”
ผู้เป็นพ่อพยักหน้าเบา ๆ วางมือบนบ่าลูกชาย “ในยามคับขัน แม้ล่าช้าเพียงเสี้ยววินาที ก็อาจแลกด้วยชีวิต จงมีสติอยู่เสมอ และไม่ลืมความกตัญญู”
ในค่ำคืนนั้น ท่ามกลางบ้านร้างและเสียงป่าลึก สองพ่อค้าวาณิชพ่อลูกนั่งใกล้กองไฟที่เริ่มลุกใหม่ ครั้งนี้ไร้เงาใดจากมุมมืด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การมีเมตตาและสติกำกับใจ ย่อมทำให้เรารอดพ้นจากอันตราย แม้ในยามที่เหตุการณ์ดูน่ากลัวหรือเร่งเร้าเพียงใด เพราะปฏิกิริยาแรกของเราอาจเป็นความตกใจหรือความกลัว แต่หากเราหยุดไตร่ตรองแม้เพียงชั่วครู่ สติก็จะนำทางให้เราตัดสินใจได้ถูกต้อง
ลูกชายของพ่อค้าแม้จะไม่รู้ถึงอาถรรพ์ของบ้านผีสิง แต่ด้วยความตั้งใจจะดูแลบิดาและความไวในการสังเกต เขาจึงรีบกล่าวคำอวยพรเพื่อช่วยชีวิตพ่อไว้ได้ทัน ฝ่ายพ่อที่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ไม่ลังเลที่จะตอบกลับด้วยเมตตาและไหวพริบ ช่วยให้ทั้งสองรอดพ้นจากอสูร
นิทานนี้จึงเปรียบเสมือนเครื่องเตือนใจว่าในโลกที่เต็มไปด้วยกับดักแห่งอวิชชา ผู้มีใจมั่นคงและเปี่ยมด้วยความเมตตา จะเป็นผู้ที่ไม่มีสิ่งใดกลืนกินได้
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องพ่อค้ากับอสูร (อังกฤษ: The Traders and the Demon) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ และใช้ชีวิตร่วมกับผู้คนในสังคม เพื่อเรียนรู้ธรรมชาติของมนุษย์ การตัดสินใจ และการยึดมั่นในคุณธรรมแม้ในสถานการณ์ที่กดดัน
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งประสบกับความลังเลระหว่างการถือศีลในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย โดยตั้งคำถามว่า “หากเราผิดพลาดเพียงเล็กน้อย โดยไม่มีใครเห็น ความผิดนั้นจะนับว่าร้ายแรงเพียงใด?”
พระองค์จึงทรงระลึกถึงอดีตชาติหนึ่ง ซึ่งพระองค์เสวยชาติเป็นพ่อค้าใหญ่ผู้มีเมตตาและเฉลียวฉลาด โดยต้องเผชิญกับเหตุการณ์ลี้ลับในเรือนร้างที่มีอสูรรอพรากชีวิตของผู้ใดก็ตามที่ละเลย “ธรรมเนียมแห่งการอวยพร” ซึ่งแม้จะดูเป็นพิธีกรรมเล็กน้อย แต่แท้จริงแล้วแฝงไว้ด้วยบทเรียนแห่งความไม่ประมาทและความเอาใจใส่ในสิ่งที่ดูเหมือนไม่สำคัญ
ชาดกเรื่องนี้จึงสอนว่า แม้ในสถานการณ์ที่ดูเล็กน้อย การไม่ประมาทและการมีสติรู้เท่าทัน ก็สามารถปกป้องตนเองและผู้อื่นจากภัยใหญ่หลวงได้ และผู้ที่มีใจมั่นคงในความถูกต้อง ย่อมเป็นผู้ที่ผ่านบททดสอบแห่งชีวิตได้อย่างงดงาม
คติธรรม: “ผู้มีสติย่อมไม่ประมาทในธรรมแม้เพียงเล็กน้อย เพราะความละเอียดอ่อนในใจนั้นเองที่สามารถปกป้องชีวิตจากภัยอันใหญ่หลวง”