ปกนิทานกริมม์เรื่องภาษาทั้งสาม

นิทานกริมม์เรื่องภาษาทั้งสาม

ในโลกที่เต็มไปด้วยความลี้ลับและเหตุการณ์เหนือคาดหมาย บางครั้งผู้ที่ดูไร้ความสามารถที่สุดกลับเป็นคนที่โชคชะตาเลือกให้พบสิ่งยิ่งใหญ่โดยไม่รู้ตัว

มีเรื่องเล่านิทานกริมม์เรื่องหนึ่งเล่าถึงบุตรชายของเคานต์ผู้ถูกมองว่าโง่เขลา แต่พรสวรรค์ประหลาดของเขากลับพาไปสู่เส้นทางที่ไม่มีใครคาดคิด และเปลี่ยนชีวิตเขาอย่างสิ้นเชิง กับนิทานกริมม์เรื่องภาษาทั้งสาม

ภาพประกอบนิทานกริมม์เรื่องภาษาทั้งสาม

เนื้อเรื่องนิทานกริมม์เรื่องภาษาทั้งสาม

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ แคว้นหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ มีเคานต์ชราผู้ร่ำรวยและทรงเกียรติ เขามีลูกชายเพียงคนเดียว แต่เจ้าลูกชายนี้กลับมีชื่อเสียงลือชาไปทั่วทั้งแผ่นดินว่าเป็น “เด็กที่โง่ที่สุดเท่าที่ใครเคยพบ” ต่อให้พ่อพยายามสอนสิ่งใด ก็ไม่มีอะไรเข้าหัวเขาเลยสักอย่าง

วันหนึ่งเคานต์ถอนหายใจยาวก่อนกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย พ่อสอนเท่าไรก็ไม่เข้าหัวเจ้าเลยจริง ๆ งั้นพ่อจะส่งเจ้าไปให้ครูเอกคนดัง เขาคงทำอะไรได้บ้างน่า…”

ว่าดังนั้น ลูกชายก็ถูกส่งไปยังเมืองอื่น และอยู่กับครูหนึ่งปีเต็ม เมื่อกลับมา พ่อก็รีบถามด้วยความหวัง “เจ้าลูกชาย พอจะได้ความรู้อะไรกลับมาบ้างไหม?”

เด็กหนุ่มยิ้มภูมิใจ แล้วตอบว่า “พ่อครับ… ตอนนี้ผมฟังรู้เรื่องแล้วว่าสุนัขเห่ากันว่าอะไร!”

เท่านั้นล่ะ เคานต์แทบเป็นลม “พระเจ้าช่วย! เรียนตั้งปี ได้มาแค่นี้?”

อย่างไรก็ดี เขายังไม่ยอมแพ้ จึงส่งลูกชายไปหาอาจารย์อีกคนหนึ่ง คราวนี้ก็อีกปีเต็ม แล้วถามอีกครั้ง “แล้วคราวนี้เจ้าเรียนรู้อะไรมา?”

ลูกชายตอบอย่างภาคภูมิว่า “ผมรู้แล้วครับว่านกพูดว่าอะไร”

คราวนี้เคานต์เริ่มหัวร้อนจริง ๆ “โอ้ย! เจ้าชายศรีหมด ไม่ได้ความอะไรเลย! ถ้าส่งไปที่สามแล้วยังไม่ได้เรื่องอีก… ข้าจะไม่ถือว่าเจ้าเป็นลูกอีกต่อไป!”

แต่พ่อก็ยังส่งลูกไปหาครูคนที่สาม และเมื่อครบปี… คำตอบก็ทำเอาพ่อถึงกับลุกพรวดจากที่นั่ง “พ่อครับ ปีนี้ผมเรียนรู้ว่ากบร้องคุยอะไรกัน!”

เท่านั้นเอง พ่อโกรธสุดขีด ตะโกนเรียกคนใช้มา “พาไอ้เด็กนี่ไปป่า แล้วฆ่ามันซะ! ข้าไม่ขอลูกเช่นนี้อีกต่อไป!”

แต่คนใช้ทั้งสองกลับสงสาร ไม่กล้าลงมือ จึงปล่อยเขาไป พร้อมควัก ลูกกวางตาย เอา “ลูกตาและลิ้น” ไปส่งพ่อแทนเป็นหลักฐาน ลูกชายจึงรอดตายและเริ่มออกเดินทางไปตามทางของตนเอง

เด็กหนุ่มผู้ไร้บ้านเร่ร่อนเดินทางไปเรื่อย ๆ จนมาถึงปราสาทใหญ่แห่งหนึ่ง เขาขอแค่ที่พักคืนเดียว เจ้าของปราสาทตอบรับ แต่เตือนด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ถ้าเจ้ากล้านอนในหอคอยเก่า ก็เชิญ… แต่มันอันตรายถึงชีวิตนะ ที่นั่นเต็มไปด้วยสุนัขดุร้าย หอนเห่าไม่หยุด และทุกคืนต้องจับมนุษย์หนึ่งคนโยนให้มันกิน”

ผู้คนทั้งแถบต่างหวาดกลัว ไม่มีทางหยุดภัยนี้ได้เลย แต่เด็กหนุ่มกลับยิ้มเฉย ๆ “ผมนอนได้ครับ… แค่ให้ผมมีอาหารไปโยนให้พวกมันก็พอ พวกมันจะไม่ทำร้ายผม”

ทุกคนอึ้ง แต่ก็ยอมให้เขาลอง เมื่อเขาลงไปในหอคอย สุนัขหลายสิบตัวที่กำลังหอนกึกก้อง… กลับวิ่งมาวนรอบเขา ยกหางส่ายอย่างเป็นมิตร แถมกินอาหารจากมือเขาอย่างว่าง่ายสอนง่ายราวกับรู้จักกันมานาน

รุ่งเช้า เขากลับขึ้นมาโดยไม่ถูกรอยข่วนแม้แต่นิด ทุกคนตกตะลึง เขาจึงบอกว่า “สุนัขบอกผมว่า พวกมันถูกสาปให้เฝ้าสมบัติกองโตในหอคอยนี้ หากยังไม่ถูกนำออกไป พวกมันจะไม่มีวันหยุดหอนเลย และผมก็รู้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร”

เจ้าของปราสาทเบิกตากว้างด้วยหวังใหม่ เขาสัญญาจะรับเด็กหนุ่มเป็นลูกบุญธรรม หากทำสำเร็จ

เด็กหนุ่มลงไปอีกครั้ง ทำตามที่สุนัขบอกทุกขั้นตอน และเพียงไม่นาน ก็หอบหีบสมบัติทองก้อนใหญ่กลับขึ้นมา ภูติสุนัขเฝ้าทรัพย์ทั้งหลายก็หายไป ไม่หอนอีกต่อไป แผ่นดินจึงกลับมาสงบอีกครั้ง

ภาพประกอบนิทานกริมม์เรื่องภาษาทั้งสาม 2

เมื่อเวลาผ่านไป เด็กหนุ่มได้ตัดสินใจออกเดินทางต่อ คราวนี้มุ่งหน้าไปยังกรุงโรม ระหว่างทางเขาเดินผ่านบึงที่เต็มไปด้วยกบนับไม่ถ้วน กำลังร่าเริงร้อง “อ๊บ อ๊บ อ๊บ” อย่างพร้อมเพรียง

แต่เมื่อเขาฟัง เขากลับฟังรู้เรื่อง และเพียงไม่นานใบหน้าก็ซีดลง เพราะสิ่งที่กบพูดคือคำพยากรณ์

พวกมันบอกว่า “เจ้า… จะได้เป็นพระสันตะปาปา”

ฟังแล้วเขาถึงกับเงียบไปทันที ไม่รู้ว่าตนควรดีใจหรือ กลัวดี แต่กบทุกตัวพูดตรงกันหมดจนเขาหยุดคิดไม่ได้เลย

เมื่อเดินทางถึงกรุงโรม ก็พบว่าพระสันตะปาปาเพิ่งสิ้นพระชนม์ และผู้คนกำลังถกเถียงกันว่าจะเลือกใครเป็นผู้สืบตำแหน่ง ไม่มีแนวทางใดตกลงกันได้สักอย่าง จึงเกิดมติว่า “ใครก็ตามที่ได้รับสัญญาณจากพระเจ้า… ผู้นั้นจะเป็นโป๊ปองค์ใหม่”

ในขณะกำลังประกาศการตัดสินนี้ เด็กหนุ่มก็เดินเข้าสู่โบสถ์ และทันใดนั้น…

นกพิราบสีขาวสองตัวสีขาวบริสุทธิ์ก็บินลงมาเกาะบนไหล่เขาทั้งสองข้าง ทุกคนเห็นเต็มตา และรู้ทันทีว่านี่คือ “สัญญาณจากเบื้องบน”

คณะพระคาร์ดินัลถามเขาทันทีว่า “เจ้าจะรับตำแหน่งพระสันตะปาปาหรือไม่? นี่คือพระประสงค์ของสวรรค์”

เด็กหนุ่มลังเล เขารู้ดีว่าตนไม่เคยเรียนหนังสือ ไม่รู้พิธีกรรม ไม่รู้อะไรเลย แต่กระนั้น… นกพิราบสีขาวสองตัวบนไหล่ก็ขยับปีกเบา ๆ เหมือนกำลังปลอบเขา ก่อนกระซิบเสียงอ่อนในหูว่า “รับเถิด… เราจะช่วยเจ้าเอง”

สุดท้ายเขาก็ตอบตกลง และได้รับการเจิมขึ้นเป็นพระสันตะปาปาองค์ใหม่

แต่เมื่อถึงเวลาต้องประกอบพิธีมิสซาครั้งแรก… เขายืนอยู่หน้าผู้คนนับร้อยด้วยหัวใจเต้นแรง เพราะไม่รู้คำสวดแม้แต่ “ประโยคเดียว”

และแล้ว นกพิราบสีขาวทั้งสองบนไหล่เขาก็ก้มมากระซิบข้อความทั้งหมดให้เขาท่องตามอย่างช้า ๆ

คำสวดทุกประโยคที่ออกจากปากเขา… เป็นถ้อยคำจากสวรรค์ ผ่านเสียงกระซิบของนกพิฮูกหิมะทำให้พิธีในวันนั้นงดงามดั่งปาฏิหาริย์

และด้วยเหตุนี้เอง… คำพยากรณ์ของกบระหว่างทางก็กลายเป็นจริง เขากลายเป็นพระสันตะปาปาผู้สูงส่งผู้ซึ่งเข้าใจ “ภาษาของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด”

ภาพประกอบนิทานกริมม์เรื่องภาษาทั้งสาม 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความสามารถของคนเรานั้นอาจไม่เป็นที่เข้าใจในตอนแรก บางครั้งอาจดูไร้ประโยชน์จนถูกดูแคลน แต่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ความรู้หรือพรสวรรค์ที่ดูประหลาดนั้นกลับกลายเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เจ้าของมันสร้างคุณค่าและเปลี่ยนชีวิตของตนเองได้ นอกจากนี้ยังเตือนว่าอย่าด่วนตัดสินใครจากวิธีเรียนรู้หรือความแตกต่างของเขา เพราะทุกคนมีเส้นทางที่เป็นของตัวเอง และบางครั้งสิ่งที่ดูไร้ความหมายที่สุด อาจนำไปสู่เรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตได้เช่นกัน

บางครั้งชีวิตก็พาเราไปพบสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ราวกับมีลิขิตจากสวรรค์นำทางอยู่เงียบ ๆ แม้เราไม่อาจมองเห็นหรือเข้าใจในตอนนั้น แต่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เหตุการณ์ทุกอย่างกลับประสานกันอย่างน่าพิศวง จนทำให้เรารู้ว่าโชคชะตาอาจมีบทบาทมากกว่าที่คิด

อ่านต่อ: คอลเลกชันนิทานโด่งดังจากยุโรปนิทานกริมม์อ่านสนุกได้ข้อคิดดี ๆ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานกริมม์เรื่องภาษาทั้งสาม (อังกฤษ: The Three Languages) นิทานเรื่องนี้มาจากคอลเลกชันนิทานกริมม์ Kinder- und Hausmärchen ลำดับที่ 033 KHM ซึ่งเป็นนิทานพื้นบ้านเยอรมันที่พี่น้องกริมม์รวบรวมและบันทึกในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยมีจุดเด่นคือการผสมผสานความแปลกประหลาด ความเชื่อเหนือธรรมชาติ และอารมณ์ขันแบบดั้งเดิมของยุโรปกลาง

เรื่องเล่าถึงบุตรชายของท่านเคานต์ที่ถูกมองว่า “เรียนรู้อะไรก็ไม่ได้เรื่อง” แต่กลับมีพรสวรรค์ลึกลับในการเข้าใจภาษา ของสุนัข นก และกบ ความสามารถนี้นำเขาไปสู่การเปิดปมปริศนา นำพาผู้คนออกจากคำสาป และในที่สุดได้ขึ้นเป็นสันตะปาปาผ่านสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครคาดฝัน

นิทานสะท้อนว่าความแตกต่างไม่ใช่ความด้อยค่า แต่เป็นของขวัญที่อาจเปลี่ยนชะตาชีวิตให้ยิ่งใหญ่ได้ ความไม่เข้าใจของผู้คนไม่ควรเป็นเหตุให้เราดูถูกศักยภาพของใคร และบางครั้งโชคชะตาก็ทำงานในแบบที่เหนือความคาดหมายของมนุษย์เสมอ

คติธรรม: แม้คนทั้งโลกจะมองว่าเรา “ไม่เก่ง” หรือ “ไม่มีค่า” แต่ความสามารถพิเศษที่ดูไร้ประโยชน์ในสายตาใครบางคน อาจกลายเป็นกุญแจสำคัญที่เปลี่ยนชะตาชีวิตเราได้อย่างคาดไม่ถึง