บางครั้ง ความยั่วยวนก็ไม่ได้มาในรูปของอำนาจหรือทรัพย์สิน แต่อาจมาในเสียงอ่อนหวาน รอยยิ้มอันงดงาม หรือคำพูดที่ฟังดูปรานี แต่เบื้องหลังกลับซ่อนเงื่อนไขที่อาจฉุดใจให้หลงลืมเป้าหมาย
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงชายผู้เลือกความสงบเหนือความสุข และหญิงผู้มอบคำล่อใจอย่างอ่อนโยน แต่กลับได้รับคำตอบที่ทำให้เธอมองเห็นโลกในมุมใหม่… กับนิทานชาดกเรื่องนางพรายน้ำผู้ล่อลวง

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องนางพรายน้ำผู้ล่อลวง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กลางเทือกเขาหิมพานต์ที่สูงชันและเย็นยะเยือก มีนักพรตหนุ่มผู้หนึ่งนุ่งห่มด้วยผ้ากาสาวพัสตร์เก่าเก็บ อาศัยอยู่ลำพังใกล้สระน้ำใสที่ซ่อนตัวอยู่ในผืนป่าลึก
เขาละทิ้งโลก ละทิ้งความสุขทางเนื้อหนัง ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเงียบสงบ สำรวมจิตใจและฝึกฝนความเพียรในธรรมะ
วันหนึ่ง ขณะที่นักพรตกำลังอาบน้ำในสระนั้น ท่ามกลางแสงอาทิตย์อ่อนที่ลอดผ่านกิ่งไม้ เกิดระลอกคลื่นบางเบาแหวกขึ้นจากผิวน้ำ
ปรากฏร่างของนางพรายน้ำผู้เลอโฉม ผู้มีผิวดั่งงาช้างและเรือนผมดั่งเงาพระจันทร์ เธอขึ้นมาจากน้ำอย่างเงียบงันและสบตากับนักพรตโดยไม่ตั้งใจ
เพียงแรกเห็น หัวใจของนางก็เต้นแรง นางคิดในใจว่า “เหตุใดชายผู้หล่อเหลาเช่นนี้จึงต้องทนใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้น เขาควรได้ลิ้มรสแห่งความสุขในโลกีย์ มิใช่จมอยู่กับการทรมานตน”
เพื่อดึงดูดนักพรตให้ออกจากสมาธิ นางจึงเริ่มร้องเพลงเบา ๆ เสียงของนางกังวาน ดั่งระฆังแก้วในหุบเขา ท่วงทำนองเย้ายวนประหนึ่งสายลมพัดผ่านดอกไม้ป่า
เสียงนั้นไหลไปทั่วผืนป่าและสะท้อนอยู่ในอากาศ แต่นักพรตยังคงยืนนิ่ง ไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
นางพรายน้ำหยุดร้อง แล้วเดินเข้าไปใกล้เขาอย่างกล้าหาญ เอ่ยเสียงหวานว่า “ชายหนุ่มเอ๋ย เหตุใดเจ้าจึงต้องอยู่กับความลำบาก ทั้งที่เจ้ามีวัยและรูปลักษณ์อันงดงาม โลกภายนอกเต็มไปด้วยรสแห่งความสุข เจ้าสามารถบวชเมื่อแก่ก็ยังไม่สาย”
นักพรตหันไปสบตานางอย่างสงบ แล้วตอบว่า “สตรีผู้เจริญ ข้าสามารถเลือกทางเช่นนั้นได้ก็จริง แต่ใครเล่าจะรับประกันว่าข้าจะอยู่จนแก่เฒ่า หากความตายมาถึงก่อนวันนั้นเล่า?”

คำตอบของนักพรตนั้นไม่ใช่คำกล่าวด้วยอารมณ์ แต่เต็มไปด้วยความจริงและความแน่วแน่ เสียงของเขานุ่มนวลแต่หนักแน่น เงียบสงัดของป่าเหมือนหยุดลงเพื่อฟังความคิดอันมั่นคงนี้
นางพรายน้ำนิ่งงัน สายตาของนางจับจ้องใบหน้าของนักพรตอย่างไม่อาจละไปได้ ในน้ำเสียงของเขามิได้มีความโกรธ ไม่มีการปฏิเสธด้วยความเย็นชา มีเพียงความเมตตาและความเข้าใจ
นางรู้สึกถึงบางสิ่งในใจตนเอง ความยึดติด ความปรารถนา และความลุ่มหลงที่เคยมั่นใจว่าเป็นความรัก เริ่มละลายกลายเป็นความละอาย
“ข้าเข้าใจแล้ว…” นางพึมพำเบา ๆ ดวงตานางทอดต่ำลงกับพื้นดิน
“ใจของเจ้าไม่ได้ถูกล่ามด้วยสิ่งใด ข้าไม่มีอำนาจเหนือผู้ที่ตื่นรู้เช่นเจ้า”
เมื่อกล่าวจบ นางพรายน้ำหันหลังกลับโดยไม่มีคำล่ำลา ไม่มีเสียงเพลง และไม่มีรอยยิ้ม นางเดินลงสู่ผืนน้ำอย่างเงียบงัน คลื่นบางเบาไหลวนรอบข้อเท้าก่อนจะกลืนร่างของนางหายไปในความลึกของสระน้ำ
นักพรตยืนสงบอยู่ตามเดิม สายลมพัดผ่านเบา ๆ ใบไม้ขยับไหวราวรับรู้ว่าใจของเขามั่นคงประหนึ่งภูผา ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งยั่วยุในรูป เสียง กลิ่น รส หรือสัมผัสใด ๆ ทั้งสิ้น
เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย หลับตาอย่างสงบ และดำเนินวิถีธรรมของตนต่อไปในความเงียบงามของป่าอันสงบ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การฝึกตนให้มีสติและรู้เท่าทันความยั่วยวนในชีวิต คือเกราะป้องกันใจที่มั่นคงที่สุด ความสุขจากการรู้จักวางเฉยนั้นลึกซึ้งกว่าความสุขจากการเสพสิ่งภายนอก เพราะเมื่อใจไม่ไหลตามอำนาจของกิเลส จิตจึงเป็นอิสระอย่างแท้จริง
ฤๅษีมิได้ปฏิเสธความรักหรือความงาม แต่เขาเห็นความไม่แน่นอนของชีวิต และเลือกที่จะไม่แลกเปลี่ยนความสงบทางใจกับสิ่งที่ไม่ยั่งยืน แม้จะมีเสียงเพลง ความงาม หรือคำชักชวนเบื้องหน้า เขายังยืนหยัดอยู่ในทางแห่งปัญญา
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องนางพรายน้ำผู้ล่อลวง (อังกฤษ: The Tempting Nymph) จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ สะท้อนถึงการฝึกฝนจิตใจให้มั่นคงต่อสิ่งยั่วยวน และความสำคัญของสติปัญญาในการเลือกทางดำเนินชีวิต
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เพื่อเตือนภิกษุผู้หนึ่งซึ่งเริ่มหวั่นไหวต่อความสุขในทางโลกและลังเลต่อเส้นทางแห่งธรรม พระองค์จึงทรงนำเรื่องราวของฤๅษีในอดีตผู้ยึดมั่นในพรหมจรรย์ แม้จะเผชิญกับสิ่งเย้ายวนอย่างนางพรายน้ำผู้มีวาจาไพเราะและรูปโฉมงดงาม
ชาดกเรื่องนี้จึงชี้ให้เห็นว่า ความยึดมั่นในทางธรรม มิใช่การหลีกหนีโลกด้วยความกลัว แต่คือการมองเห็นความไม่เที่ยงของโลก และเลือกความสงบทางใจเหนือสิ่งอื่นใด
คติธรรม: “ผู้รู้จักวางใจท่ามกลางความยั่วยวน มิใช่ผู้หนีโลก แต่คือผู้ชนะโลกได้โดยไม่ต้องต่อสู้กับมัน”