ในลำคลองสายหนึ่งที่ไหลผ่านหมู่บ้านเงียบสงบ มีเรื่องเล่าที่ไม่มีใครรู้ว่าจริงหรือไม่จริง ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าขานนิทานพื้นบ้านไทย ณ แดนใต้กันมาว่า หากมองปลาบางตัวให้ดี จะเห็นรอยช้ำจาง ๆ บนแก้มของมัน และนั่นคือร่องรอยของเรื่องราวหนึ่ง ที่เริ่มต้นจากแหวนวงเดียวและใจของผู้หนึ่งที่อยากได้มันเกินควร
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมปลาตัวนั้นถึงมีแก้มช้ำ แต่ในคืนที่ลมพัดแรงและน้ำในคลองนิ่งสนิท เสียงหนึ่งจะเล่าเรื่องเก่า ๆ ให้ฟังอีกครั้ง เรื่องของหมา แมว และปลาผู้ถือครองของมีค่าที่ไม่ใช่ของตน และบทเรียนที่หลงเหลืออยู่ในรอยช้ำซึ่งสืบต่อมาหลายชั่วชีวิต กับนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องตำนานปลาแก้มช้ำ

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องตำนานปลาแก้มช้ำ
กาลครั้งหนึ่งนานนักหนา ณ เรือนยกใต้ถุนสูงริมคลองใหญ่ มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง ประกอบด้วยตาผู้ใจดี ยายผู้ขยันขันแข็ง หมากายใหญ่ขนหยาบหนึ่งตัว และแมวลายขาวดำผู้มีนิสัยระแวดระวัง ครอบครัวนี้อยู่กันอย่างสงบสุขมิได้มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ตากับยายเลี้ยงหมาแมวดั่งลูกหลาน พูดจาด้วยความเมตตา ป้อนข้าวปลาให้อิ่มทั้งเช้าเย็น
วันหนึ่ง ยายได้เปิดหีบไม้ใต้ถุนเรือนเพื่อหยิบของสำคัญขึ้นมาดู แล้วจึงได้หยิบแหวนวงหนึ่งขึ้นมาใส่ไว้บนนิ้ว แหวนวงนั้นทำด้วยเงินลงยา ขอบฝังหินแก้วสีแดงระเรื่อ เมื่อแสงแดดยามสายสาดลงต้อง ตัวแหวนก็เปล่งประกายพรายแพรวงามประหนึ่งเพลิงต้องน้ำ
หมาผู้เฝ้ามองอยู่ใต้ถุนเรือน แลเห็นแหวนวงนั้นเข้าก็รู้สึกสะดุดตานัก หัวใจของมันเต้นแรงตึกตักไม่ต่างจากยามไล่ล่าหนูในสวน
“โอ้ว แหวนอันใดเล่าจึงงามนัก ข้าฯ เห็นแล้วอยากได้ไว้เป็นของตน แลหากข้าฯ มีไว้เสียวงหนึ่ง ก็คงจะงามมิใช่น้อย”
มันคิดในใจเงียบ ๆ โดยมิได้เผยให้ผู้ใดล่วงรู้
วันคืนผ่านไปไม่นาน ขณะที่ยายวางแหวนไว้บนชานเรือนเพื่อถอดล้างมือ หมาก็ย่องขึ้นมาเงียบงัน ราวเงาไร้เสียง มันใช้ปากคาบแหวนเบา ๆ แล้ววิ่งลับหายไปทางเส้นทางหลังบ้านอันทอดสู่พงไม้รก
เมื่อยายรู้ตัวว่าแหวนได้หายไปก็ตกใจนัก จึงร้องเรียกตาให้ช่วยกันหา “ตาเอ๋ย ตา แหวนของข้าฯ หายไปแล้ว หายไปจากชานเรือนเมื่อครู่นี้เอง”
ตาก็มิรอช้า รีบกวาดสายตาดูรอบเรือน ก่อนจะพบรอยเท้าหมาและรอยฝุ่นร่วงจากชานเรือนเป็นทางยาวไปทางพงหญ้า
ตาจึงหันไปสั่งแมว “เจ้าลาย เจ้าแมวเจ้าปราดเปรียวกว่าใคร จงติดตามรอยเจ้าหมานั่นไปให้ถึงที่ แล้วนำแหวนกลับมาให้ยายเถิด”
แมวลายขาวดำก็พยักหน้าเบา ๆ แล้วกระโจนลงจากเรือน มุ่งหน้าไปตามรอยเท้าของหมาทันที
รอยเท้าหมาพาดผ่านร่องสวนและซอกไม้ นำไปสู่สะพานไม้เก่าแก่ที่ทอดข้ามคลองสายหนึ่ง แมววิ่งมาโดยพลัน ก็แลเห็นเจ้าหมากำลังเดินข้ามสะพานอยู่พอดี คาบแหวนไว้ในปาก ดวงตาลอบเหลียวซ้ายแลขวา ราวเกรงผู้ใดจะพบเห็นเข้า
แมวจึงตะโกนถามด้วยเสียงหนักแน่น “หมาเอ๋ย เจ้าลักแหวนของยายไปใช่หรือไม่ จงบอกมาเสียแต่โดยดีเถิด”
หมาสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียง จึงหันมาอ้าปากจะตอบคำ “ข้า ฯ หาได้ตั้งใจลักไม่ดอก เพียงแต่…”
แต่ยังมิทันสิ้นวาจา แหวนที่คาบไว้ก็หลุดจากปาก พลัดตกลงไปในคลองเบื้องล่าง เสียงน้ำดัง จ๋อม ดังแว่วท่ามกลางความเงียบ
หมาและแมวต่างตาโต มองลงไปยังผิวน้ำที่มีระลอกเบา ๆ ก่อเป็นวงคลื่นกว้างออกไป
เบื้องใต้น้ำนั้น มีฝูงปลาหลายสิบตัวแหวกว่ายอยู่ ปลาบางตนได้เห็นแหวนวงนั้นร่วงลงมาเป็นประกายแวววาวก็นึกสนใจ ตัวหนึ่งว่ายปราดเข้าคาบไว้ด้วยความลุ่มหลง “ของอันใดกันเล่า จึงงามยิ่งนัก ข้าฯ ขอครอบครองเสียเถิด”
มันคิดพลางว่ายลับหายไปใต้กอพงใต้น้ำ มิให้อื่นพบเห็น
บนสะพาน หมากับแมวยืนค้างอยู่กับความตกใจ ความผิดพลาดเกิดขึ้นแล้ว และแหวนนั้นก็มิได้อยู่ในปากหมาอีกต่อไป

ครานั้น หมาซึ่งยืนอยู่บนสะพาน มิได้กล่าวคำใดต่อออกมาเลยสักคำ มันนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามาทางแมวด้วยแววตาหนักแน่น “ข้า ฯ ทำผิดไปแล้ว แม้นเป็นเพียงแหวนวงหนึ่ง แต่ก็เป็นของรักของยายผู้เลี้ยงข้าฯ มาแต่เล็ก ข้า ฯ จักไม่ยอมกลับเรือนจนกว่าแหวนจะคืนสู่มือผู้เป็นเจ้าของ”
แมวเพียงพยักหน้าเบา ๆ แล้วนั่งฟังเงียบ ๆ อยู่ริมสะพาน
หมาจึงกระโจนลงคลองไปในทันใด ดำว่ายดิ่งลึกลงไปก้นน้ำ ว่ายเวียนค้นหาใต้ซอกกอผักกระเฉด ใต้ตอไม้และโคลนตม ครั้นแล้วก็โผล่ขึ้นมาหายใจคราแล้วคราเล่า แต่หาได้พบแหวนวงนั้นไม่เลย
มันเริ่มร้อนรน แล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างจริงจัง “หากงมมิได้ด้วยตา ข้าฯ จักทำให้คลองนี้แห้งเสีย จะได้เห็นของทุกชิ้นในดินใต้เงาน้ำ”
กล่าวจบแล้ว หมาก็ขึ้นจากน้ำมายืนบนตลิ่ง สะบัดขนเสียจนหยดน้ำกระเด็นลงคลอง แล้วกลับกระโจนลงไปใหม่ ขึ้นมาอีกก็สะบัดใหม่ ทำเช่นนี้ทั้งวันทั้งคืนมิรู้เหน็ดเหนื่อย
แมวมองอยู่ริมฝั่ง ด้วยสายตาที่เริ่มวิตก ว่าคลองนี้อาจแล้งเหือดไปจริง ๆ
ฝ่ายฝูงปลาผู้อยู่ใต้ผืนน้ำ ครั้นเห็นว่าน้ำในคลองพร่องลงไปเรื่อย ๆ ต่างก็พากันแตกตื่น บ้างว่ายซุกเข้ากอผัก บ้างมุดดินหลบลึกด้วยความหวาดกลัว
หัวหน้าฝูงปลาเป็นปลาขนาดใหญ่สีทองหม่น ว่ายขึ้นมาริมน้ำแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ “เจ้าหมาเอ๋ย โปรดยุติการกระทำของเจ้าเถิด น้ำในคลองนี้คือชีพของพวกเราทั้งฝูง แลหากมันเหือดแห้งไปไซร้ พวกข้าฯ ก็จักถึงคราวดับสูญ”
หมาจึงหยุดฟัง แล้วกล่าวตอบ “หากพวกเจ้าแลเห็นแหวนวงหนึ่งที่ตกลงมาเมื่อคราเย็นก่อน ขอได้โปรดคืนให้ข้า ฯ เพื่อข้าฯ จักได้นำไปส่งคืนยายผู้เป็นเจ้าของ แล้วข้าฯ จักหยุดทันที”
หัวหน้าฝูงปลาก็รับคำอย่างเร่งรีบ แล้วว่ายลงลึกไปกลางคลอง ร้องเรียกบริวารให้ช่วยกันค้นหาแหวนวงนั้น ในที่สุดปลาตัวหนึ่งก็ถูกพบว่าคาบแหวนอยู่ในปาก พลางซ่อนตัวเงียบอยู่ในโพรงใต้ตอไม้
หัวหน้าปลาจึงเข้าไปใกล้ แล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “เจ้าปลาเอ๋ย แหวนวงนั้นหาใช่ของเจ้าไม่ เจ้าคงพบโดยบังเอิญ ขอได้โปรดคืนให้พวกเรานำไปส่งคืนเจ้าของเถิดเถิด”
แต่ปลาตนนั้นกลับส่ายหัวช้า ๆ แลกล่าวเสียงหนัก “ข้า ฯ ชอบแหวนวงนี้นัก ข้า ฯ จะขอเก็บไว้ดูต่างหน้า ข้า ฯ หามีแสงใดในน้ำนี้งามเท่ามันไม่”
เสียงนั้นทำให้ปลาทั้งฝูงเริ่มฮือฮา เกิดความวุ่นวายขึ้นในน้ำ หัวหน้าปลาจึงเอ่ยด้วยเสียงกร้าว “เจ้าฯ หลงในของสิ่งเดียวจนลืมพวกพ้อง เจ้าฯ รู้หรือไม่ว่าทะเลาะเพราะแหวนนั้น น้ำในคลองนี้อาจแห้งเหือด หายนะจักมาเยือนเรา”
ปลาอีกหลายตัวพากันว่ายกรูกันเข้าไปใกล้ เริ่มยื้อแย่งจากปากปลาผู้ดื้อรั้น ฝูงปลาพัวพันตีฟาดกันไปมา หยิบยื้อด้วยปากและหางจนตะกอนฟุ้งกระจาย
ในที่สุด แหวนก็หลุดจากปากปลาตัวนั้น และถูกหัวหน้าฝูงปลาว่ายเข้าคาบไว้ ก่อนส่งคืนให้หมาด้วยความเร็ว
แต่ในระหว่างการยื้อยุดนั้น ปลาผู้เคยครอบครองแหวนได้ถูกตบตี จนแก้มทั้งสองข้างช้ำแดงระเรื่อ แลมิอาจกลับคืนเป็นดั่งเดิมได้อีก
หมารับแหวนด้วยสีหน้าอิ่มเอม แล้วกล่าวขอบคุณด้วยใจจริง “ข้า ฯ สำนึกผิดแล้ว แลจักไม่ล่วงเกินสิ่งใดด้วยใจละโมบอีกต่อไป”
จากนั้นมันก็วิ่งกลับเรือนเพื่อนำแหวนส่งคืนยาย
ส่วนปลาผู้มีแก้มช้ำ กลับว่ายไปซ่อนตัวใต้กอสาหร่าย มิออกมาอีกนานนัก แต่มันก็มีลูกหลานสืบสายต่อมา ซึ่งล้วนมีรอยช้ำอ่อน ๆ ตรงแก้มทั้งสองข้างเหมือนผู้ให้กำเนิด
ชาวบ้านผู้เห็นจึงพากันเรียกปลาเช่นนั้นว่า “ปลาแก้มช้ำ” มาจนถึงทุกวันนี้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความโลภแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจกลายเป็นต้นเหตุของปัญหาใหญ่ หากไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ อาจนำความเดือดร้อนมาสู่ตนเองและผู้อื่นโดยไม่ตั้งใจ
แต่เมื่อกล้ายอมรับผิดและตั้งใจแก้ไขด้วยความจริงใจ ผลลัพธ์ก็อาจเปลี่ยนจากความเสียหายให้กลายเป็นการเรียนรู้ และนำสิ่งที่สูญไปกลับคืนได้ในที่สุด
ทั้งยังเตือนให้เราเห็นว่า การยึดติดในสิ่งที่ไม่ใช่ของตน แม้ดูเล็กน้อย ก็อาจทิ้งร่องรอยที่ฝังลึกยาวนานกว่าที่คิด
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องตำนานปลาแก้มช้ำ เป็นหนึ่งในนิทานที่สืบทอดกันมาทางปากต่อปากในหลายพื้นที่ของภาคใต้ โดยเฉพาะในชุมชนเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ใกล้ลำคลองหรือแหล่งน้ำธรรมชาติ เรื่องเล่านี้มักถูกเล่าโดยผู้ใหญ่ให้เด็ก ๆ ฟังในยามค่ำหรือช่วงพักงาน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสอดแทรกคติเตือนใจเรื่อง “ความโลภ” และ “ความรับผิดชอบ” ผ่านเรื่องราวที่เรียบง่าย เข้าใจง่าย และมีตัวละครเป็นสัตว์ที่ใกล้ตัวในชีวิตประจำวัน
ลักษณะของนิทานเรื่องนี้มีความคล้ายคลึงกับนิทานพื้นบ้านที่อธิบายที่มาของสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ เช่น เหตุใดสัตว์บางชนิดจึงมีลักษณะพิเศษ ซึ่งในกรณีนี้คือ “ปลาที่มีแก้มช้ำ” หรือมีสีเข้มบริเวณแก้ม โดยนิทานให้คำอธิบายในรูปแบบของตำนานปริศนา (mythical explanation) ผสมกับพฤติกรรมของสัตว์อย่างหมาและแมวที่เด็กไทยคุ้นเคย
นิทานเรื่องตำนานปลาแก้มช้ำแก่นของเรื่องแสดงให้เห็นอิทธิพลจากวิถีชีวิตชาวใต้น้ำที่ผูกพันกับธรรมชาติ ความเชื่อเรื่องสัตว์มีวิญญาณหรือจิตใจ รวมถึงการเคารพของผู้มีพระคุณอย่างตาและยายในครอบครัว จึงถือได้ว่าปลาแก้มช้ำ เป็นนิทานพื้นบ้านร่วมท้องถิ่นที่สะท้อนทั้งค่านิยมและภูมิปัญญาแบบไทยใต้อย่างชัดเจน
“ความโลภแม้เพียงเล็กน้อยอาจนำความเดือดร้อนมาสู่ตนและผู้อื่น แต่ความสำนึกผิดและความตั้งใจแก้ไขอย่างจริงใจ คือหนทางเดียวที่จะเยียวยาสิ่งที่สูญเสียกลับคืน”