นานมาแล้ว เมื่อมนุษย์ยังมิรู้จักคุณค่าของสิ่งที่อยู่ใต้เปลือก ของบางอย่างถูกกองทิ้งไว้ตามชายทุ่ง ทั้งที่เปล่งประกายอยู่ในตัวมันเอง ผู้คนกินแต่อะไรที่เคยกิน และกลัวทุกอย่างที่ยังไม่เคยลิ้มลอง
จนวันหนึ่ง… มีเรื่องเล่านิทานพื้นบ้านไทยที่เกิดจากเสียงร้องของเด็กน้อยคนหนึ่ง ทำให้หม้อข้าวทั้งหมู่บ้านไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันไม่ใช่เพราะข้าวเปลี่ยนไป แต่เพราะสายตาทั้งชุมชนเริ่มมองลึกลงกว่าเดิม และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องเล่า กับนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องแก่นข้าว

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องแก่นข้าว
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านหนึ่งในลุ่มน้ำตอนใต้ แดดอ่อนสาดต้องยอดข้าวเขียวไสว ผู้คนต่างขะมักเขม้นเกี่ยวรวง นวดข้าว ฝัดเอาฝุ่นรำไว้สำหรับหุงหา
เพราะสมัยนั้น มนุษย์ยังมิรู้ว่าข้าวขาวที่อยู่ในเปลือกนั้นกินได้ ต่างเข้าใจกันว่าเพียง “รำข้าว” เท่านั้นที่กินได้โดยไม่เป็นอันตราย ส่วนเมล็ดขาวข้างใน ซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า “แก่นข้าว (หรือเมล็ดข้าวที่เรากินกันทุกวันนี้นั่นเอง)” นั้นต่างโยนทิ้ง กองสุมไว้ตามชายทุ่ง
มีเรือนยาจกอยู่หลังหนึ่ง มีพ่อแม่ลูก พ่อไถนา แม่ฟาดข้าว เด็กน้อยในเรือนชื่อว่าจัน อายุพรรษายังไม่พ้นห้า ร่างเล็ก ตาโต ผิวคล้ำดังเงาเงาะ ติดแม่ยิ่งกว่าสิ่งใด
ในทุกเพลาเช้า แม่จักต้มรำข้าวให้ลูกกินเป็นประจำ กลิ่นฟุ้ง ข้นขม สีคล้ำดั่งตะกอนน้ำคลอง “ลูกเอ๊ย… มากินข้าวรำก่อน หายหิวแล้วจึงได้ไปเล่น”
หากคราวใดตักเข้าปาก จันจะเบะปาก ร้องไห้โหยหวน “ม่าย… ม่ายเอาอีหร่า กินแล้วขมแล้ม หร้าย!”
เสียงจันครวญครางจนแม่ต้องยกขันลงอย่างหัวเสีย พ่อที่เหนื่อยเพลียจากนาเดินมาถลึงตาใส่ “มึงอีหร่อยไหรหา? มึงอีกินอ้ายไหรหา ร้อง ๆ เดี๋ยวกูต้มแก่นข้าวให้กิน ให้ตาย ๆ ไปเสียแหละ”
จันนิ่งเงียบทันใด ราวเสียงนั้นเป็นมนต์
แม่หันมองหน้าลูก ก่อนจะบ่นกับพ่อ
“มันจักรู้เรื่องได้จังได๋ พูดเล่นไปงั้นแล”
แต่ไม่นาน เด็กน้อยก็ส่งเสียงอีก ครานี้เสียงร้องมิใช่ขัดขืน หากเป็นเสียงอ้อนปนหิว
พ่อจึงตะคอกทั้งรำคาญ “ทีนี้กูเอาแก่นข้าวมาต้มให้กินจริง ๆ แหละ ร้องไปตะ!”
แม่ถอนใจ ก่อนเดินไปที่ชายเรือน ที่ซึ่งกองแก่นข้าวกองอยู่ใหญ่ ฝุ่นขาวเกาะอยู่รอบถุงข้าว พ่อปาดมือรวบเมล็ดขาวสะอาดขึ้นมาหนึ่งกะลาครก
ต้มในหม้อดินด้วยน้ำสะอาดเพียงเล็ก รอจนกลิ่นหอมลอยวน ราวกับฟ้าสั่งลมให้พัดกลิ่นข้าวฟุ้งไปทั่ว
เมื่อยกขึ้น เด็กน้อยเหมือนรออยู่แล้ว รีบคลานเข้าหา มือเล็ก ๆ รับถ้วยข้าวที่ยังร้อนผ่าว แล้วตักกินอย่างรวดเร็ว “ฮือ…หรอย! หรอยแล้!”
จันกินจนอิ่มท้อง แล้วพิงตักแม่หลับตาพริ้มด้วยรอยยิ้ม พ่อกับแม่สบตากันนิ่ง หัวใจตกวูบ “มัน…จักเป็นไหรหรือเปล่า หร้ายแน่ กินแก่นข้าวตั้งหลายค้อน”
แม่เขย่าตัวลูกเบา ๆ ไม่ตอบ พ่อยืนกุมขมับแล้วทรุดตัวลงข้างหม้อ
น้ำตาไหลพร้อมเสียงครวญ “ลูกเอ๊ย… อย่าเพิ่งตายจากอีป๊านะแมะ…”
เสียงสะอื้นยังไม่ทันสิ้น เด็กน้อยก็ลืมตาขึ้น หาวเบา ๆ แล้วหัวเราะอย่างเบิกบาน
“แม่…พ่อ…หรอยแล้ หรอยจังแล้ หิวใหม่ ๆ อีกตะ!”

ข่าวว่า “เด็กน้อยกินแก่นข้าวแล้วอยู่ดีมีสุข” นั้น แผ่กระจายไปทั้งบ้านเล็กบ้านใหญ่ เพื่อนบ้านที่เคยหัวร่อเย้ย ก็เริ่มมาสังเกต
“หึ้ย…ลูกจันมันดูแข็งแรงเนอะ โลดเล่นไม่หยุดปาก ยามก่อนหน้ามอมแม่ม มานี่ผ่องนัก”
บางบ้านเริ่มลองต้มแก่นข้าวให้ลูกกินตาม เมื่อไม่มีอันใดเป็นพิษ รสชาติก็หอม นุ่ม ละมุนกว่า “รำ” ที่เคยฝืดคอ
มื้อหนึ่ง กลางลานนวดข้าว มีชายแก่ผู้หนึ่งเดินมาหยุดยืนบนกองเปลือกที่ยังเต็มพื้น เขาก้มมองข้าวขาว ๆ พริบตา น้ำตาก็คลอ
“แท้นิ… ฟ้าคงเบิกตาให้มนุษย์เสียที”
เขาหยิบแก่นข้าวขึ้นมาใส่ถุงผ้า ยิ้มแล้วหันไปบอกหลาน
“เอ้า…วันนี้เราจะได้กินข้าวแท้ ๆ กันเสียทีนะหลาน”
วันเวลาผ่านไป แก่นข้าวที่เคยเป็นเพียงเศษอันไร้ค่า กลับกลายเป็นสิ่งมีค่าประจำสำรับ ผู้คนพากันตำ เป่า ฝัด ล้างข้าวขาวสะอาดด้วยความตั้งใจยิ่ง
รำข้าวที่เคยกิน กลับกลายเป็นของป้อนหมูไก่แทน
ชาวบ้านหลายคนพากันมาเยือนเรือนจัน ถามไถ่ถึงวันแรกที่เด็กน้อยกินแก่นข้าว พ่อแม่ของจันได้แต่หัวเราะอย่างอาย ๆ
“มึงไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ กูต้มให้มันกินประชดแท้ ๆ แต่มันกลายเป็นฮีตฮอยไปแล้วนี่หว่า”
จันเติบโตมาแข็งแรงนัก และมักชี้ไปที่หม้อดินใบนั้นเสมอ
“หม้อใบนั้นแล…ที่ทำให้ข้าได้หรอยกว่าทุกคน”
บางตำนานกล่าวว่า หม้อดินใบนั้นยังอยู่ดี แม้ขอบจะบิ่นก็ตาม มีคนเก็บไว้กลางบ้านบนหิ้งสูง เคยมีเด็กเล็กคนหนึ่งไต่ขึ้นไปแตะหม้อ แล้วบอกแม่ว่าได้กลิ่นข้าวหอม ทั้งที่หม้อว่างเปล่า
นับแต่นั้นมา “แก่นข้าว” ก็มิใช่ของทิ้งอีกต่อไป กลายเป็นอาหารประจำมื้อ และเป็นหัวใจของชาวนาไทยทุกยุคสมัย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… บางครั้งสิ่งที่ผู้ใหญ่เคยชิน เชื่อว่าถูก และทำกันมาทั้งบ้านทั้งเมือง อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดเสมอไป แก่นข้าวซึ่งเคยถูกมองว่าแข็ง กินไม่ได้ หรือเป็นของทิ้ง กลับกลายเป็นสิ่งมีค่าที่ทำให้เด็กน้อยมีแรง มีรอยยิ้ม และปลุกให้ผู้คนหันกลับมามอง “สิ่งเดิม ๆ” ด้วยตาใหม่
เสียงร้องของเด็กเพียงคนเดียว ไม่ได้ดังเพราะโวยวาย แต่มันสั่นสะเทือนเพราะเขา “รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร” ต่างหาก และการที่พ่อแม่ยอมเปลี่ยน ลองฟัง ลองทำ คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทั้งชุมชน
ตำนานนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของข้าว แต่คือบทเรียนของการเปิดใจต่อสิ่งใหม่ กล้ายอมรับว่าเราอาจเข้าใจผิดมาตลอด และเห็นคุณค่าของสิ่งที่เคยทิ้งไว้ข้างทาง
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องแก่นข้าว เป็นนิทานพื้นบ้านภาคใต้ที่สืบต่อกันในหมู่ชาวนาเก่า โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เคยใช้กรรมวิธีโบราณในการฝัดข้าว กล่าวกันว่าครั้งหนึ่งในอดีต ผู้คนยังไม่รู้จักการบริโภคข้าวขาวอย่างที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน กลับนิยมกินเพียง “รำข้าว” ที่ได้จากการฝัดแยกเปลือกออกเท่านั้น ด้วยความเชื่อว่าแก่นข้าวด้านในนั้น “แข็งเกินไป ไม่เหมาะแก่การบริโภค” หรือ “เป็นเพียงของเสียจากการฝัดรำ”
เรื่องเล่านี้มักถูกถ่ายทอดเพื่อสอนเด็ก ๆ ถึงความกล้าในการคิดต่าง และการฟังเสียงของตนเอง ผ่านภาพของ “เด็กน้อยผู้ไม่ยอมกินรำข้าว” และผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงวิถีของทั้งชุมชน
บางพื้นที่เชื่อว่าเรื่องนี้สะท้อน “การตื่นรู้” ของผู้คนต่อของมีค่าใกล้ตัว ทั้งในแง่ของอาหาร ปัญญา และความศรัทธาต่อสิ่งที่ยังไม่เคยลองสัมผัส ซึ่งถือเป็นแก่นสำคัญของภูมิปัญญาชาวใต้
นิทานเรื่องแก่นข้าวไม่มีปรากฏในเอกสารโบราณอย่างเป็นทางการ แต่ถูกจดจำผ่าน “ปากต่อปาก” ตามท้องนาในภาคใต้ โดยเฉพาะในจังหวัดพัทลุง ตรัง และสงขลา ซึ่งยังคงมีผู้เฒ่าเล่าให้ฟังในยามค่ำหลังฤดูเกี่ยวข้าว
“สิ่งที่คนทั้งหมู่บ้านโยนทิ้ง อาจเป็นสิ่งเดียวที่คนคนหนึ่งต้องการ เพื่ออยู่รอด”