ในโลกนี้ทุกสิ่งล้วนมีการตอบแทนตามกรรม ไม่ว่าคุณจะทำดีหรือทำชั่ว ผลของการกระทำนั้นจะย้อนกลับมาหาคุณเสมอ นิทานพื้นบ้านไทยเรื่องนี้เกิดขึ้นจากความอิจฉาริษยาและการทุจริตที่เกิดขึ้นในครอบครัว เมื่อความชั่วถูกทำร้ายด้วยความริษยา มันจะส่งผลกลับมาไม่วันใดก็วันหนึ่ง
โดยตัวละครในเรื่องนี้ได้ผ่านการทดสอบและเรียนรู้บทเรียนสำคัญของการทำดีและทำชั่วผ่านชีวิตที่เคยเกิดใหม่หลายครั้ง การเดินทางของนางเอื้อย และปลาบู่ทอง จะพาคุณไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งว่า การกระทำที่มาจากใจที่บริสุทธิ์ย่อมมีผลตอบแทนที่ดีในที่สุด กับนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องปลาบู่ทอง

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องปลาบู่ทอง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในราชสำนักแห่งหนึ่ง มีเมียหลวงผู้มีความงามและคุณธรรมชื่อนางอำพัน เธอเป็นภรรยาที่รักและดูแลสามีอย่างดี แต่กลับมีนางทองใบ เมียน้อยที่มีความอิจฉาริษยามาก เธอแอบคิดหาวิธีทำร้ายเมียหลวงเพื่อให้ตนเองได้เป็นที่รักของกษัตริย์
นางทองใบทำการแอบใส่ยาพิษลงในอาหารที่ทำให้เมียหลวงทานทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่งนางอำพัน ได้รับพิษจนป่วยหนัก นางทองใบรีบไปหากษัตริย์แล้วบอกว่าเมียหลวงกำลังป่วยหนักจนต้องการความช่วยเหลือ
“พระองค์ทรงเห็นหรือไม่? เมียหลวงกำลังป่วยหนัก ต้องการพระเมตตาช่วยรักษาเธอให้หาย” นางทองใบพูดในขณะที่แสร้งทำเป็นกังวล
แต่ในใจของนางทองใบกลับเต็มไปด้วยความดีใจที่สามารถกำจัดคู่แข่งได้สำเร็จ
นางอำพันพยายามบอกกษัตริย์ถึงความจริงเกี่ยวกับการกระทำของนางทองใบที่ทำให้เธอเจ็บป่วย แต่ทุกครั้งที่พูด ลูกชายก็ไม่เชื่อใจแม่และหาว่าแม่ปากเปียกพูดไปเรื่อย ๆ
“ท่านพระราชา โปรดทรงเชื่อข้าเถิด… ท่านต้องรู้ว่าคนที่ทำร้ายข้าคือ… นางทองใบ” นางอำพันพูดอย่างเจ็บปวด
แต่กษัตริย์กลับหันไปมองนางทองใบที่แสร้งทำเป็นกังวล
“นางอำพัน… ถ้าอย่างนั้นอาการของท่านก็คงจะไม่ดีนัก พระราชาจะให้ท่านพักรักษาตัวก่อน”
กษัตริย์พูดแล้วเดินจากไป โดยไม่เชื่อคำพูดของเมียหลวงที่กำลังจะสิ้นใจ
เมื่อนางอำพันตายไป เธอกลับเกิดใหม่ในร่างของปลาบู่ทอง ซึ่งแหวกว่ายอยู่ในแม่น้ำใสที่มีแต่ความสงบ แต่ไม่สามารถหลุดพ้นจากความอาฆาตและความเคียดแค้นที่เกิดจากการถูกหลอกลวงและทอดทิ้ง
อยู่มาวันหนึ่ง ปลาบู่ทองก็กลายเป็นต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทอง ที่เติบโตในป่าลึกใกล้พระราชวัง ด้วยใบสีทองและสีเงินที่สวยงาม ส่องแสงระยิบระยับยามเมื่อแสงแดดกระทบ
วันหนึ่งนางเอื้อย ซึ่งเป็นสาวงามจากหมู่บ้านหนึ่ง ต้องมาอยู่ในป่าหลังจากถูกแม่เลี้ยง กลั่นแกล้งจนชีวิตตกต่ำ แม่เลี้ยงของนางเอื้อยเป็นคนชั่วร้ายและทำร้ายเธอจนไม่มีทางไป
“ทำไมแม่เลี้ยงถึงไม่ชอบข้าขนาดนี้ ข้าก็แค่ต้องการที่จะช่วยตัวเอง” นางเอื้อยคิดในใจ ขณะเดินลึกเข้าไปในป่าที่เต็มไปด้วยความเงียบสงัด
นางเอื้อยพบต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองที่ดูแปลกตา รากของต้นไม้ยาวลึกลงไปในดิน ท่ามกลางใบสีเงินและทองที่สะท้อนแสงอย่างงดงาม สร้างความรู้สึกแปลกประหลาดให้กับนาง
นางเอื้อยพูดกับตัวเอง “นี่คืออะไร ทำไมมันถึงงอกขึ้นมาอย่างมหัศจรรย์” พร้อมทั้งเริ่มถอนต้นโพธิ์ออกจากดิน
ทันใดนั้น ต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองก็ปล่อยแสงสว่างออกมา ลำแสงทองคำฉายออกมาจากต้นไม้ และทุกคนที่เห็นต่างตกตะลึง พระราชาที่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับต้นไม้ก็รีบมาเยี่ยม
“นี่คือต้นโพธิ์ทองที่เลื่องชื่อจริงหรือ?” พระราชาพูดด้วยความตื่นตะลึง
นางเอื้อยตอบว่า “ข้าขอถอนต้นโพธิ์นี้ให้ได้ เพื่อให้พระองค์เห็นถึงความอัศจรรย์ของมัน”
พระราชาพอเห็นความสามารถของนางเอื้อยก็ยอมรับในความสามารถของเธอ จึงให้เธอเป็นมเหสีของพระราชา

หลังจากที่นางเอื้อยสามารถถอนต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองได้สำเร็จ พระราชาก็เกิดความประทับใจในความสามารถของนางและเชื่อว่าเธอเป็นคนที่มีบุญบารมีจึงแต่งตั้งนางเป็นมเหสีของพระราชา นางเอื้อยจึงได้เข้าไปอยู่ในวังหลวงและได้ความสุขที่เธอปรารถนา
แต่ชีวิตในวังหลวงก็ไม่ง่ายดายเสมอไป เพราะแม่เลี้ยงของนางเอื้อยยังไม่ยอมแพ้และพยายามหาวิธีทำให้ชีวิตของนางเอื้อยตกต่ำอีกครั้ง เธอเริ่มแผนการใหม่เพื่อทำให้กษัตริย์ไม่รักนางเอื้อย และชักใยให้นางเอื้อยหลงกลได้ง่าย
วันหนึ่ง เมื่อพระราชามาพบกับนางเอื้อยในห้องพระราชวัง แม่เลี้ยงที่แฝงตัวมาได้ยื่นคำแนะนำให้นางเอื้อย
“เจ้าค่ะ มเหสี อย่าให้พระราชารู้ว่าเจ้ามีความสงสัยอะไรบางอย่างเกี่ยวกับท่าน… ท่านจะได้ไม่เสียพระทัย” แม่เลี้ยงพูดด้วยน้ำเสียงหวาน แต่แฝงไปด้วยเจตนาร้าย
นางเอื้อยได้ยินดังนั้นก็เริ่มรู้สึกถึงความแปลกประหลาดในคำพูดของแม่เลี้ยง แต่เธอก็ยังไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อวันหนึ่งนางก็หลงกลแม่เลี้ยงและทำให้พระราชาเข้าใจผิดเกี่ยวกับการกระทำของเธอ
เมื่อพระราชาทราบเรื่องดังกล่าว เขาก็เริ่มห่างเหินจากนางเอื้อย และนางเอื้อยรู้สึกว่าทุกอย่างเริ่มสูญเสียไปทีละน้อย
หลังจากนางเอื้อยถูกหลงกลและถูกทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก นางเริ่มรู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในกับดักของแม่เลี้ยงอีกครั้ง จนกระทั่งเธอเสียชีวิตจากการถูกล่วงละเมิดและการทรยศจากผู้ที่เธอเคยรัก
ในขณะที่นางเอื้อยจากไป วิญญาณของเธอไม่สามารถไปไหนได้และเธอถูกทำให้เกิดใหม่เป็นนกแขกเต้า ที่บินวนเวียนอยู่ในป่าใกล้ๆ วังหลวง
เมื่อนกแขกเต้ากำลังบินไปมา เธอได้พบกับฤาษี ผู้มีความสามารถในการช่วยชีวิตผู้ที่ทุกข์ทรมาน เขาจึงใช้วิชาช่วยเหลือนางเอื้อย และพาเธอกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
“ข้าฯ จะช่วยเจ้าตามที่เจ้าต้องการ แต่เจ้าต้องมีความเข้าใจในสิ่งที่ทำไปและเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น” ฤาษีพูดกับนางเอื้อย
หลังจากที่นางเอื้อยกลับมามีชีวิตใหม่ เธอได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และการไม่หลงไปกับความชั่วที่เกิดจากความอิจฉาริษยาและความโลภ
เธอขอพรจากฤาษีว่าจะไม่ให้สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตทำลายชีวิตของเธออีกต่อไป และจะไม่หลงกลกับใครอีก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การทำดีย่อมได้รับผลดี และการทำชั่วก็ต้องได้รับผลกรรม เช่นเดียวกับนางเอื้อยที่ถูกกลั่นแกล้งจากแม่เลี้ยงจนต้องเผชิญความทุกข์ แต่ในที่สุดเมื่อเธอได้เรียนรู้จากความผิดพลาดและกลับมาเป็นคนดี ชีวิตของเธอก็กลับมามีความสุขอีกครั้ง
ขณะที่ผู้ที่ทำร้ายเธอกลับต้องรับผลกรรมจากการกระทำของตนเอง ทุกสิ่งในโลกนี้มีการตอบแทนตามการกระทำของเราเองเสมอ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องปลาบู่ทอง เป็นนิทานพื้นบ้านที่มีความนิยมและถูกเล่ากันอย่างแพร่หลายมานานในทุกภาคของประเทศไทยโดยเฉพาะภาคกลาง โดยมีหลากหลายชื่อที่ใช้เรียกนิทานเรื่องนี้ เช่น “เต่าน้อยอองคา” หรือ “นางอุทธรา” ในภาคเหนือของไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในการเล่าเรื่องในแต่ละท้องถิ่น นิทานนี้มีทั้งในรูปแบบของคำปาฐะ (การเล่าปากเปล่า) และคำกลอน รวมถึงสำนวนที่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น นิทานชาดกนอกนิบาต, คำกาพย์, และคำกลอนต่าง ๆ
นิทานเรื่องนี้สะท้อนถึงวิถีชีวิตของชาวบ้านและวัฒนธรรมพื้นบ้าน โดยมีการแสดงออกถึงการทำมาหากินในท้องถิ่น เช่น การหาปลา การเลี้ยงวัวควายในทุ่งนา รวมถึงการปฏิบัติพิธีกรรมพื้นบ้าน เช่น การเสี่ยงทาย, การเรียกขวัญ, ลางสังหรณ์, หรือการเลี้ยงดูบุตร ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นภาพสะท้อนของชีวิตชาวบ้านในอดีตที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและความเชื่อ
เนื้อหาของนิทานยังมีการสอดแทรกคำสอนทางพุทธศาสนา เช่น การทำความดี การทำชั่ว และการได้รับผลกรรมตามการกระทำ ถือเป็นบทเรียนที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นเพื่อให้ผู้ฟังและผู้อ่านได้เรียนรู้คุณธรรมต่าง ๆ
ในปัจจุบัน นิทานเรื่องนี้ยังคงมีชีวิตอยู่ในสื่อสมัยใหม่ เช่น ภาพยนตร์, ละครโทรทัศน์, และ หนังสือการ์ตูน สำหรับเด็ก ซึ่งยังคงรักษาแนวคิดและบทเรียนจากนิทานต้นฉบับเอาไว้ พร้อมทั้งมีการปรับให้เหมาะสมกับยุคสมัย เพื่อให้คนรุ่นใหม่ยังคงได้เรียนรู้จากเรื่องราวในอดีต
นิทานเรื่อวปลาบู่ทองจึงเป็นนิทานที่มีความหลากหลายทั้งในด้านการเล่าเรื่องและการตีความ เน้นการสะท้อนสภาพสังคมและวัฒนธรรมในอดีต รวมถึงการแฝงแง่คิดเกี่ยวกับความดีและความชั่วผ่านการเดินทางและการฟื้นคืนชีพของตัวละครที่สำคัญ
“ความอิจฉาและการทำร้ายผู้อื่นจะนำพาผลกรรมที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง ในขณะที่ความดีจะผลิบานออกมาแม้จะต้องผ่านความทุกข์ยากใด ๆ ก็ตาม”