ความคิดเป็นสิ่งแหลมคม มันสามารถอธิบายโลกได้ทุกมุม แต่ก็สามารถปิดกั้นความเงียบในใจได้โดยไม่รู้ตัว
มีนิทานเซนเรื่องหนึ่งที่เริ่มต้นจากบทสนทนาธรรมดาเรื่องหินก้อนหนึ่ง และจบลงด้วยประโยคที่ไม่ใช่คำตอบ… หากแต่เป็นกระจกใสที่สะท้อนให้เราเห็นว่า ใจที่แบกความรู้ไว้ตลอดเวลา อาจหนักกว่าหินจริง ๆ เสียอีก กับนิทานเซนเรื่องจิตใจดั่งหินผา

เนื้อเรื่องนิทานเซนเรื่องจิตใจดั่งหินผา
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหุบเขาลึกของประเทศจีน มีวัดเล็ก ๆ หลังหนึ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้และหมอกยามเช้า ที่วัดนั้น มีพระเฒ่ารูปหนึ่งนามว่าโฮเก็น ท่านอยู่ตามลำพัง ไม่ได้เทศนา ไม่ได้เดินธุดงค์ ท่านเพียงทำความสะอาด ปลูกผัก และนั่งเงียบ ๆ เหมือนหินก้อนใหญ่ที่วางอยู่กลางลานวัด
วันหนึ่ง ในฤดูใบไม้ร่วง ลมหนาวพัดแรงจนใบไม้ปลิวว่อน เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นที่ประตูวัด
พระโฮเก็นเปิดประตูออก ก็เห็นพระหนุ่มสี่รูปยืนตัวสั่นอยู่
“ท่านอาจารย์ขอรับ พวกเราเดินทางไกลมา และขออนุญาตก่อไฟที่ลานวัดเพื่อให้คลายหนาวได้หรือไม่?”
โฮเก็นพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร เขาชี้ไปยังมุมหนึ่งของลานวัด แล้วเดินกลับเข้าไปในกุฏิ
พระหนุ่มทั้งสี่ช่วยกันก่อไฟ ใบไม้แห้งและกิ่งไม้ถูกนำมากองรวมกัน ควันบางลอยขึ้นท่ามกลางอากาศเย็น พวกเขานั่งล้อมกองไฟ มืออังไออุ่น ในขณะที่เสียงสนทนาเริ่มดังขึ้น
“ทุกสิ่งในโลกนี้คือสิ่งที่จิตเราสร้างขึ้นมา ไม่ใช่หรือ?”
“ข้าไม่แน่ใจ บางอย่างก็มีอยู่จริงโดยไม่ขึ้นอยู่กับจิตของเรา เช่นหินก้อนนี้”
“แต่นั่นก็แค่ความรู้สึกของเจ้า หินเองก็เป็นเพียงภาพที่จิตรับรู้!”
เสียงพูดคุยเริ่มร้อนแรงพอ ๆ กับไฟในกอง พวกเขากำลังถกเถียงเรื่อง “อัตวิสัย” กับ “ปรวิสัย” หรือสิ่งที่อยู่ในใจ กับสิ่งที่อยู่ภายนอกใจ
ขณะที่เสียงถกเถียงยังดำเนินอยู่ โฮเก็นเดินออกมาช้า ๆ ในมือของเขาถือถ้วยน้ำชา ใบหน้าของท่านดูเหมือนจะไม่สนใจสิ่งที่พวกเขาพูด แต่สายตานั้นกลับนิ่งลึกเหมือนผิวน้ำที่ไม่มีคลื่น
ท่านเดินไปยืนใกล้ ๆ กองไฟ แล้วชี้ไปที่หินก้อนใหญ่ซึ่งวางอยู่ไม่ไกล
“พวกเจ้าเห็นหินก้อนนั้นหรือไม่?”
ทั้งสี่หันไปมองตามนิ้วชี้ มันเป็นหินธรรมดา ๆ สีเทา ขนาดใหญ่พอสมควร อยู่ตรงขอบลานวัด
“เจ้าคิดว่าหินก้อนนั้นอยู่ในใจเจ้าหรืออยู่นอกใจ?” โฮเก็นถามเรียบ ๆ
พระหนุ่มรูปหนึ่งรีบตอบด้วยความมั่นใจ “จากมุมมองของพระพุทธศาสนา ทุกสิ่งเป็นผลของจิต ดังนั้นหินก้อนนั้นก็อยู่ในใจของข้า”
โฮเก็นพยักหน้าเบา ๆ แล้วจิบชาก่อนกล่าวว่า “เช่นนั้น… ศีรษะและหัวใจของเจ้าคงจะหนักมากแน่ หากเจ้าต้องแบกหินก้อนใหญ่เช่นนั้นไว้ในใจตลอดเวลา”
ไม่มีใครพูดอะไรต่อ กองไฟยังคงลุกไหม้ แต่ดูเหมือนอุณหภูมิจะเปลี่ยนไป เสียงในใจของแต่ละคนเงียบลง มีเพียงหิน… ที่ยังอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ขยับไปไหนเลย

หลังจากที่โฮเก็นกล่าวประโยคสุดท้ายนั้น ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ พระหนุ่มทั้งสี่นั่งนิ่ง ไม่มีใครตอบ ไม่มีใครยิ้ม ไม่มีใครหัวเราะ
บางคนก้มลงมองพื้น บางคนมองหินก้อนนั้นอีกครั้ง และบางคนเริ่มรู้สึกว่าคำถามของโฮเก็น… ไม่ใช่คำถามธรรมดา
หนึ่งในพวกเขาพึมพำเบา ๆ “ข้าคิดว่าเข้าใจ แต่ตอนนี้… ข้าไม่แน่ใจอะไรเลย”
โฮเก็นไม่ได้ตอบ เขาเพียงนั่งลงใกล้ ๆ พวกเขา จิบชาอีกคำ แล้วมองกองไฟที่ค่อย ๆ มอดลง “บางที การคิดว่าทุกสิ่งอยู่ในใจ อาจเป็นเพียงอีกวิธีหนึ่งในการยึดติด”
“แต่การผลักทุกอย่างออกไปไว้นอกใจ ก็อาจเป็นการหลีกหนีความรับผิดชอบเช่นกัน”
“เซนไม่สอนให้เลือกข้าง แต่สอนให้เราดูให้เห็นว่า ใจของเราเองมีน้ำหนักแค่ไหน”
คำพูดของโฮเก็นไม่ได้เป็นคำตอบ หากแต่เป็นกระจกใสสะท้อนสิ่งที่อยู่ในใจผู้ฟังแต่ละคน
รุ่งเช้าวันต่อมา แสงแดดอ่อนส่องผ่านยอดไม้ พระหนุ่มทั้งสี่ลุกขึ้นแต่เช้าก่อนฟ้าสาง พวกเขาเก็บข้าวของเงียบ ๆ ไม่มีการพูดถึงเรื่องเมื่อคืน ไม่มีการอธิบาย ไม่มีข้อสรุป
พวกเขาทำความสะอาดลานวัด วางฟืนให้เรียบร้อย แล้วเดินกลับไปกราบลาโฮเก็นซึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้หินก้อนเดิม “ขอบพระคุณที่ให้พักพิงและ…ให้บทเรียนที่เราอาจต้องใช้ทั้งชีวิตเพื่อเข้าใจ”
โฮเก็นพยักหน้า ยิ้มเพียงเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “เมื่อพวกเจ้ารู้ว่าไม่เข้าใจ นั่นแหละ คือจุดเริ่มต้นของความเข้าใจ”
พวกเขาเดินจากไปตามทางภูเขา เสียงฝีเท้าค่อย ๆ เลือนหายไปในหมอกยามเช้า
หินก้อนใหญ่ยังอยู่ที่เดิม ใจของโฮเก็นก็ยังนิ่งเหมือนเดิม ไม่ต้องขยับ… ก็อาจสั่นสะเทือนใจใครได้ทั้งคืน

นิทานเรื่องนี้สนอให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความรู้ไม่ได้อยู่ที่คำตอบที่เราพูดได้คล่องแคล่ว แต่ซ่อนอยู่ในความหนักแน่นของใจที่กล้ายอมรับว่า “ข้ายังไม่เข้าใจ”
เมื่อพระหนุ่มตอบว่าหินอยู่ในใจตน โฮเก็นไม่ได้โต้แย้งด้วยทฤษฎี แต่ถามกลับด้วยคำที่เบาเหมือนลม… ทว่าหนักเหมือนหินก้อนนั้นเอง คำถามของเขาไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่ต้องการให้ผู้ฟังหันมาสำรวจว่า สิ่งที่เราหมายถึง “ใจ” นั้นจริงหรือแค่ความคิดที่แบกไว้โดยไม่รู้ตัว
อ่านต่อ: เรื่องเล่าเรียบง่ายในแบบเซนให้คำตอบที่ธรรมะดี ๆ กับนิทานเซน
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเซนเรื่องจิตใจดั่งหินผา (อังกฤษ: The Stone Mind) มาจากคำสอนของพระอาจารย์โฮเก็น (Hogen) หรือที่รู้จักในภาษาจีนว่า Fayan Wenyi หนึ่งในปรมาจารย์แห่งนิกายเซนสายจีนในช่วงปลายราชวงศ์ถัง (ราวคริสต์ศตวรรษที่ 10) ซึ่งเป็นยุคที่เซนเฟื่องฟูมากที่สุดในจีน
เรื่องราวนี้ปรากฏในบันทึกนิทานเซนหลายฉบับ เช่น Zen Flesh, Zen Bones โดย Paul Reps และ Nyogen Senzaki ตลอดจนปรากฏใน koan collections (ชุดคำถามเพื่อฝึกจิต) ของเซนสายจีน
นิทานนี้ใช้บทสนทนาสั้น ๆ เพื่อสั่นคลอนความมั่นใจในทฤษฎี และชี้กลับไปที่สิ่งที่เรียกว่า “ใจ” อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของการสอนแบบเซน ไม่ใช่เพื่อให้ได้คำตอบที่ถูก แต่เพื่อทำให้เราหยุด… และเห็น
เซนไม่ได้ให้แนวทางที่ตายตัว ไม่แยกโลกเป็นภายในหรือภายนอก แต่เชิญชวนให้เราวางความหมกมุ่นต่อความคิดลง และดูว่าจิตใจของเรานั้น… เบาหรือหนักเพียงใดเมื่อเผชิญกับสิ่งตรงหน้า ในที่สุด หินที่อยู่นิ่ง อาจไม่ต้องเคลื่อนไหวใด ๆ แต่ใจที่วางเหมือนหินนั้นต่างหาก… ที่ทำให้เราเป็นอิสระ
คติธรรม: “จิตที่ยึดความคิดแน่นหนา ย่อมหนักกว่าหินที่วางอยู่เฉย ๆ”