เรามักคิดว่าใจคนสะท้อนอยู่ในสิ่งที่เขาพูด หรือสิ่งที่เขาทำให้เห็น แต่บางครั้ง… สิ่งที่ดูเหมือนความเห็นแก่ตัว อาจเป็นเพียงผ้าคลุมที่ปิดบังเจตนาอันเงียบงันอยู่เบื้องหลัง
มีนิทานเซนเรื่องหนึ่งเล่าถึงพระผู้เป็นศิลปินวาดภาพเพื่อเงิน และถูกผู้คนประณามว่าโลภ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า ภาพที่เขาวาดบนผืนผ้า อาจเป็นเพียงเงา… ของสิ่งที่เขากำลังสร้างให้โลกเงียบ ๆ ด้วยหัวใจที่ไม่ต้องการคำขอบคุณ กับนิทานเซนเรื่องศิลปินขี้เหนียว

เนื้อเรื่องนิทานเซนเรื่องศิลปินขี้เหนียว
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระภิกษุรูปหนึ่งนามว่าเกสเซ็น เขาไม่ได้เป็นเพียงพระที่บำเพ็ญธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นจิตรกรฝีมือเยี่ยมที่ไม่มีใครเทียบได้ในยุคนั้น ภาพวาดของเขามีชีวิต มีจังหวะ มีจิตวิญญาณ แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนพูดถึงเขาไม่แพ้ฝีมือก็คือ… ความขี้เหนียวของเขา
ก่อนจะลงมือวาดภาพใด ๆ เกสเซนมักจะกล่าวว่า “ต้องจ่ายก่อน ข้าจึงจะเริ่มวาด”
และราคาที่เขาเรียกนั้นก็มักจะสูงจนชวนให้คนถอนหายใจ เขาเลยได้ฉายาว่า “ศิลปินขี้เหนียว” ไม่ว่าใครจะร่ำรวยหรือจน หากไม่จ่ายก่อน เขาจะไม่ขยับพู่กันแม้แต่นิดเดียว
แต่แม้จะถูกต่อว่าอย่างไร ผู้ที่เคยเห็นภาพของเขาก็ยอมรับในฝีมือ เพราะไม่มีใครวาดได้แบบเขาอีกแล้ว
วันหนึ่งเกอิชา ผู้หนึ่งมาเยี่ยมเกสเซนที่วัด เธอเป็นหญิงงามมีชื่อเสียง ไม่เพียงเพราะความงาม แต่เพราะปัญญาเฉียบแหลมและวาจาคมกริบ เธอยื่นคำขอพร้อมถ้อยคำที่ท้าทาย
“ท่านเกสเซ็น ข้าต้องการภาพหนึ่งจากท่าน จะจ่ายเท่าไรก็ว่าไป แต่ข้าขอให้ท่านวาดต่อหน้าข้าเท่านั้น”
เกสเซนยิ้มบาง ๆ สบตาเธออย่างสงบ “แล้วเจ้าจ่ายได้เท่าไร?” เขาถามกลับ
“ไม่ว่าท่านจะเรียกเท่าไร ข้าก็จะจ่าย ขอเพียงได้เห็นว่าท่านวาดอย่างไร” เกอิชาตอบเสียงเรียบ
หลายวันต่อมา เกสเซ็นถูกเชิญไปยังงานเลี้ยงที่บ้านของเกอิชา เธอกำลังต้อนรับแขกสำคัญผู้เป็นผู้อุปถัมภ์ของเธอเอง ทุกอย่างถูกจัดอย่างหรูหรา กลิ่นหอมของดอกไม้ ผ้าไหมสีอ่อน และเสียงเครื่องสายผสมผสานกันอย่างประณีต
กลางห้องนั้น เกสเซ็นค่อย ๆ วาดภาพลงบนผืนผ้าด้วยฝีมือที่แม้แต่สายลมยังต้องหยุดดู ทุกเส้นพู่กันของเขาราวกับลมหายใจนุ่มลึกและมีจังหวะ ภาพที่ปรากฏคืองานศิลป์ชั้นสูง
เมื่อภาพเสร็จ เกสเซ็นหันไปกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ “ค่าจ้างคือราคาสูงที่สุดในยุคนี้”
เกอิชาไม่กล่าวอะไร นอกจากลุกขึ้น ยื่นถุงเงินที่เตรียมไว้ให้เขา จากนั้นจึงหันไปพูดกับผู้อุปถัมภ์ของตนว่า “ศิลปินผู้นี้มีฝีมือยอดเยี่ยม… แต่ใจของเขาขุ่นมัวเพราะเงินทอง ภาพวาดที่งดงามนี้ มาจากจิตใจที่ถูกครอบงำด้วยความโลภ มันไม่เหมาะจะแขวนบนผนังใด ๆ ทั้งสิ้น”
เธอถอดกระโปรงชั้นในผืนบางออกจากตัว แล้วหันไปบอกกับเกสเซ็น “ในเมื่อมันไม่คู่ควรกับห้องโถง ข้าอยากให้ท่านวาดอีกภาพหนึ่ง… บนกระโปรงของข้า”
ทุกคนในห้องนิ่งงัน มีเพียงเสียงพู่กันที่ยังไม่ถูกขยับ
เกสเซ็นมองเธอนิ่ง ก่อนจะถามเรียบ ๆ “แล้วเจ้าจะจ่ายเท่าไร?”
“เท่าไรก็ได้ที่ท่านต้องการ” นางตอบโดยไม่หลบสายตา

เมื่อได้คำตอบจากเกอิชา เกสเซ็นก็เอ่ยราคาที่สูงลิบอย่างไม่ลังเล ทุกคนในห้องเหมือนหยุดหายใจชั่วขณะ ไม่มีใครรู้ว่ามันคือการประชดหรือการท้าทายกันแน่
แต่เกอิชาเพียงพยักหน้า แล้วกล่าว “ตกลง ท่านจงวาดเถิด”
เกสเซนหยิบพู่กันขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้วาดลงบนผืนผ้าขาวหรือกระดาษราคาแพง หากแต่วาดลงบนผ้ากระโปรงผืนบางนั้น ด้วยความประณีตเช่นเดิม ไม่มีอารมณ์ ไม่โกรธ ไม่อาย ไม่มีท่าทีว่าสิ่งที่เขาทำผิดแผกไปจากศิลปะ
พู่กันเคลื่อนไหวอย่างมั่นคง ลายเส้นไหลราวสายน้ำ แม้จะเป็นเพียงผืนผ้าของหญิงคณิกา แต่มือของเขากลับวางจิตไว้อย่างสงบนิ่ง ดั่งกำลังวาดภาพลงบนแผ่นฟ้า
เมื่อเสร็จสิ้น เขาโค้งเล็กน้อยรับค่าจ้าง แล้วจากไปโดยไม่กล่าวคำใด ไม่เหลียวหลังกลับมามองแม้แต่น้อย
คืนนั้น แขกในงานไม่รู้จะตีความเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไร ไม่มีใครรู้ว่าควรรู้สึกอึดอัด ชื่นชม หรือเสียใจ
แต่เกอิชากลับนั่งนิ่ง สีหน้าของเธอไม่แสดงความสะใจหรือความเหนือกว่า มีเพียงแววสงบแปลกประหลาดในดวงตา ราวกับรู้ว่า… เธอเองก็ถูกทดสอบ
หลายปีผ่านไป เกสเซ็นหายตัวไปจากวงการศิลปะ ไม่มีภาพใหม่ ไม่มีข่าว ไม่มีร่องรอย เหลือเพียงคำร่ำลือว่าเขาละทิ้งพู่กันและขึ้นเขาไปจำศีล
ไม่นานหลังจากนั้น ผู้คนเริ่มได้ยินเรื่องราวบางอย่างจากชาวบ้านในหลายหมู่บ้าน
พวกเขาพูดถึงโกดังลับแห่งหนึ่ง ที่มักมีข้าวสารมาแจกจ่ายเสมอในยามเกิดภัยแล้งหรือทุพภิกขภัย
พวกเขาพูดถึงถนนสายหนึ่งซึ่งเคยขรุขระจนคนเดินทางบาดเจ็บ แต่บัดนี้กลับราบเรียบและมั่นคง
และมีผู้เฒ่าผู้แก่กล่าวว่า วัดเล็ก ๆ ที่ตั้งใจจะสร้างถวายครูผู้ล่วงลับ บัดนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว แม้ไม่เคยมีใครรู้ว่าเงินมาจากไหน
เมื่อผู้คนค่อย ๆ เชื่อมโยงเรื่องราวเหล่านี้เข้าด้วยกัน ก็เริ่มมีเสียงหนึ่งแว่วออกมาในหมู่บ้านต่าง ๆ
“ศิลปินผู้ขี้เหนียว… อาจไม่ได้ขี้เหนียวอย่างที่เราคิด”
เกสเซ็นไม่ได้กลับมาอีกเลย ไม่มีภาพใหม่ ไม่มีคำชี้แจง แต่ภาพสุดท้ายที่เขาวาดไว้ บนกระโปรงของเกอิชา ยังคงเป็นที่จดจำ ไม่ใช่เพราะฝีมือ หากเพราะมันถูกวาดด้วยจิตใจที่ไร้การแก้ตัว แต่เต็มไปด้วยเจตนาอันลึกซึ้ง
และในหุบเขาอันเงียบสงบ ไม่มีใครรู้ว่าเกสเซนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ มีเพียงตะวันยามเช้าที่ตกกระทบพู่กันซึ่งถูกทิ้งไว้ใต้ต้นไม้ เงียบ… และบริสุทธิ์

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… เราไม่อาจวัดจิตใจใครได้จากคำพูด ภายนอก หรือแม้แต่การกระทำในขณะใดขณะหนึ่ง เพราะบางคนเลือกความเข้าใจผิด เพื่อจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่โดยไม่ต้องอธิบาย
เกสเซ็นดูเหมือนเป็นพระที่ยึดติดกับเงิน ผู้คนเรียกเขาว่าขี้เหนียว เกอิชาตำหนิว่าเขามีจิตใจสกปรก แต่นั่นคือสิ่งที่เขายอมรับโดยไม่แก้ตัว เพราะเป้าหมายของเขาไม่ได้อยู่ที่คำชม หากอยู่ที่ผลลัพธ์ที่เงียบงัน การมีข้าวในคลังยามผู้คนอดอยาก ถนนที่ปลอดภัย และวัดที่สร้างขึ้นเพื่อครูผู้จากไป
เซนไม่ได้สอนให้เราปฏิเสธโลก แต่สอนให้เราอยู่กับโลก โดยไม่ยึดติดกับชื่อเสียงหรือการมองเห็นจากคนภายนอก การยอมให้คนเข้าใจผิด อาจเป็นการฝึกละตัวตนที่ยากยิ่งกว่าการอธิบายให้เข้าใจ
และบางครั้ง… การวาดภาพสุดท้าย ไม่ได้เป็นเพียงศิลปะ แต่มันคือคำอธิษฐานเงียบ ๆ ที่แปรเปลี่ยนเงินตราให้กลายเป็นความเมตตาอย่างไร้เงื่อนไข
อ่านต่อ: ค้นหาปรัชญาแห่งความสงบการปล่อยวางของชีวิตผ่านนิทานเซนหลากหลายเรื่องทั้งสนุก และได้ข้อคิดดี ๆ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเซนเรื่องศิลปินขี้เหนียว (อังกฤษ: The Stingy Artist) มีที่มาจากชีวประวัติของพระเกสเซ็น เซนเน (Gessen Zenne) พระภิกษุผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงปลายยุคเอโดะ (ศตวรรษที่ 18–19) และเป็นที่รู้จักในฐานะจิตรกรผู้มีฝีมือเยี่ยมในแนวทางพู่กันจีน (sumi-e) ผสมแนวทางเซน
แม้ผู้คนจำนวนมากวิจารณ์ว่าเขายึดติดกับเงินทอง เพราะเกสเซนมักเรียกค่าจ้างสูงและต้องจ่ายล่วงหน้าเสมอ แต่ในภายหลังจึงพบว่าเขานำเงินเหล่านั้นไปใช้ในภารกิจลับ จัดเตรียมโกดังเก็บข้าวเพื่อช่วยเหลือผู้คนในยามข้าวยากหมากแพง, ซ่อมแซมถนนที่อันตรายสำหรับนักเดินทาง, และสร้างวัดถวายครูบาอาจารย์ที่ล่วงลับ, และอะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ฯลฯ
เรื่องนี้เป็นนิทานที่สะท้อนแนวคิดเซนในรูปแบบที่ไม่ตรงไปตรงมา คือไม่ใช้คำเทศนาหรือหลักธรรม แต่ปล่อยให้ผู้ฟังสังเกตพฤติกรรมที่ขัดแย้งกับภาพลักษณ์ เพื่อเห็นธรรมะที่ซ่อนอยู่ใต้เปลือกแห่งการตีตรา
เรื่องราวของพระเกสเซ็น เซนเน ยังปรากฏอยู่ในหนังสือรวมเกร็ดนิทานเซน เช่น Zen Flesh, Zen Bones โดย Paul Reps และ Nyogen Senzaki รวมถึงในตำราประวัติศาสตร์พระเซนสายญี่ปุ่นบางฉบับ
คติธรรม: “บางครั้ง ความเสียสละที่แท้จริง… สวมหน้ากากของความเห็นแก่ตัว เพื่อให้ความดีงามได้ทำงานโดยไม่ต้องการคำสรรเสริญ”