บางครั้ง สิ่งที่ดูเหมือน “อำนาจเหนือธรรมชาติ” อาจไม่ใช่สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในยามคับขัน หากแต่คือสติ ความเข้าใจมนุษย์ และการใช้ไหวพริบอย่างไม่ประมาท
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงพราหมณ์ผู้ครอบครองคาถาพิเศษ ที่ใช้ได้เพียงปีละครั้ง แต่เมื่อถูกจับโดยกลุ่มโจร เขากลับเลือกใช้คาถานั้นอย่างแยบยล จนเปิดเผยความจริงที่ลึกยิ่งกว่าคำร่ายใด ๆ… กับนิทานชาดกเรื่องคาถา

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องคาถา
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในดินแดนห่างไกล พราหมณ์ผู้เคร่งขรึมรูปหนึ่งครองตนด้วยวัตรปฏิบัติเคร่งครัด เขาไม่เพียงแต่ศึกษาคัมภีร์และบูชาพระไฟเท่านั้น แต่ยังครอบครองคาถาลึกลับบทหนึ่ง ซึ่งสามารถใช้ได้เพียงปีละครั้ง
ในยามที่ดาวเคราะห์บนท้องฟ้าเรียงตัวในแนวพิเศษอย่างประหลาด ว่ากันว่าเมื่อถึงเวลานั้น หากพราหมณ์ผู้นี้เอามือประสานแล้วตบเบา ๆ เพียงครั้งเดียว ท้องฟ้าจะโปรยปรายด้วยอัญมณีล้ำค่า
วันหนึ่ง พราหมณ์ออกเดินทางร่วมกับศิษย์หนุ่มผู้ซื่อสัตย์ ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังเมืองห่างไกลเพื่อประกอบพิธีกรรม ระหว่างทาง พวกเขาถูกกลุ่มโจรติดอาวุธดักจับกลางป่า
“จะปล่อยให้พวกเจ้ารอด ก็ต้องแลกด้วยทองห้าร้อยเหรียญ!” โจรคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง ขณะที่พวกพ้องต่างหัวเราะอย่างสะใจ
ศิษย์กระซิบเสียงเบา พลางก้มหน้าหลบสายตาโจร “อาจารย์… คืนนี้ดาวทั้งเจ็ดจะเรียงตรงแน่นอน ใช่หรือไม่? เป็นเวลาที่คาถาของท่านจะสำแดงฤทธิ์”
พราหมณ์พยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาไม่ไหวติง เขาหันไปพูดกับโจร “เรายินดีให้ทองห้าร้อยเหรียญตามที่พวกท่านเรียก แต่ต้องรอถึงค่ำคืนนี้ เพราะทองจะตกมาจากฟ้า”
โจรทั้งหลายหันมามองหน้ากัน บ้างหัวเราะเยาะ บ้างมองอย่างระแวง แต่ในที่สุดก็พยักหน้ารับตกลง โดยมีข้อแม้ว่า ถ้าพราหมณ์โกหก พวกเขาจะไม่ปล่อยให้มีชีวิตรอด
เมื่อตะวันลับขอบฟ้าและท้องฟ้าถูกแต่งแต้มด้วยดวงดาวที่เรียงตัวแน่นขนัด บรรยากาศโดยรอบเงียบงัน ราวกับสรรพสิ่งต่างรอคอยบางสิ่งบางอย่าง พราหมณ์นั่งนิ่งกลางลานหิน ข้างกายมีศิษย์นั่งพนมมืออย่างเคร่งขรึม ขณะที่โจรทั้งหลายล้อมวงมองด้วยสายตาโลภและคาดหวัง
พราหมณ์หลับตา สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนเอามือทั้งสองข้างตบเข้าหากันเบา ๆ
เพียงเสี้ยววินาทีต่อมา จากฟากฟ้าที่ไร้เมฆ กลุ่มแสงสว่างแปลบปลาบก็โปรยปรายลงมา! ทับทิม สีแดงเข้ม มรกต เขียวขจี และเพชรน้ำใสตกลงเต็มพื้นราวกับฝนแห่งสมบัติ
โจรทั้งหลายตกตะลึง ก่อนสายตาจะเปลี่ยนเป็นโลภจัด พวกเขาแย่งกันคว้า แย่งกันกอบ ใครคนหนึ่งร้อง “ข้าต้องได้มากที่สุด!”
อีกคนตะโกนกลับ “อย่าแตะของข้า!”
ไม่นานนัก เสียงทะเลาะก็ดังลั่น ทุกคนต่างลืมพราหมณ์และศิษย์ผู้เป็นเจ้าของคาถาไปเสียสิ้น
ศิษย์กระซิบเสียงเบา “ตอนนี้หรือไม่ อาจารย์?”
พราหมณ์เพียงพยักหน้า ทั้งสองกอบอัญมณีส่วนหนึ่งใส่ถุงผ้าอย่างเงียบ ๆ แล้วลอบออกจากวงวุ่นวาย วิ่งเข้าสู่เงามืดของป่าโดยไม่มีใครสังเกต
ขณะที่เบื้องหลังเต็มไปด้วยเสียงตะโกนและแววตาแห่งความโลภ กลุ่มโจรผู้ไม่เคยรู้จักคำว่า “พอ” ก็ติดกับของตนเอง โดยไม่รู้เลยว่าคาถาได้สำแดงสิ่งล้ำค่าที่สุดไปแล้ว คือโอกาส… ที่พวกเขาไม่เคยมองเห็น

สองเงาร่างวิ่งแทรกผ่านแนวต้นไม้ ลมหายใจของศิษย์ขาดห้วง แต่แววตายังคงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาหันมาถามพราหมณ์ “อาจารย์… ท่านรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือ?”
พราหมณ์ไม่ตอบในทันที เขาเพียงยกถุงผ้าแน่นในมือขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดเบา ๆ “คาถานั้นไม่เพียงเรียกสมบัติจากฟ้า… มันเรียกสันดานแท้ของคนจากพื้นดิน”
ศิษย์มองกลับไปยังแนวแสงที่ยังสว่างอยู่ไกล ๆ แม้จะอยู่ห่าง แต่เสียงทะเลาะยังดังทะลุป่ามาไม่หยุด เสียงแห่งความโลภ ความไม่รู้จักพอ และความแตกแยกที่ค่อย ๆ เผาผลาญความเป็นพวกเดียวกันของกลุ่มโจร
“แต่ถ้าโจรไม่ตะกละ เราจะทำอย่างไร?” ศิษย์ถามขึ้นอีกครั้ง
พราหมณ์หัวเราะเบา ๆ “คนที่ยอมปล่อยเราไปด้วยความสงบ… ย่อมสมควรได้รับสิ่งล้ำค่ากว่านั้น แต่ความโลภ มักรีบร้อนเปิดเผยตัวเองก่อนที่จะได้สิ่งใดจริง ๆ”
รุ่งเช้า พราหมณ์และศิษย์มาถึงชายป่าริมเมือง พวกเขาแบ่งอัญมณีบางส่วนมอบให้วัดที่เคยพำนัก และเก็บส่วนที่เหลือไว้เพื่อการศึกษาธรรมและการช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป
ศิษย์นั่งขัดสมาธิใต้ร่มไม้ หันไปถามด้วยแววตาไตร่ตรอง “ท่านครู… คาถานั้น ใช้ได้เพียงปีละครั้งจริงหรือ?”
พราหมณ์ยิ้ม ไม่ตอบโดยตรง แต่กล่าวว่า “คาถานั้น แม้จะสำแดงฤทธิ์ได้เพียงปีละครั้ง… แต่ปัญญาและความไม่ประมาท สามารถใช้ได้ทุกวัน”
“และต่างหาก ที่เป็นของมีค่าจริง ๆ”
ณ เบื้องหลัง เสียงแห่งความวุ่นวายของผู้คนยังดังอยู่ลาง ๆ แต่ใจของศิษย์กลับสงบลงอย่างน่าประหลาด เขาเพิ่งเข้าใจว่า อัญมณีที่ล้ำค่าที่สุด หาใช่สิ่งที่ตกลงมาจากฟ้า… หากแต่คือสิ่งที่ตกผลึกในใจตนเองต่างหาก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ปัญญาไม่ใช่เพียงการรู้คาถา แต่คือการรู้จักใช้มันในเวลาที่เหมาะสม ความโลภอาจทำให้คนตาบอด แม้ต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และในยามคับขัน ผู้ที่มีสติและไม่หวั่นไหว จะเป็นผู้ควบคุมเกม ไม่ใช่เหยื่อของมัน
พราหมณ์ผู้รอบรู้ไม่เพียงรอดพ้นจากภัยด้วยคาถา หากยังใช้ความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์เพื่อพลิกสถานการณ์ให้เป็นโอกาส ขณะเดียวกัน กลุ่มโจรกลับเปิดเผยธาตุแท้ของตนด้วยความอยากที่ไร้ขอบเขต จนลืมแม้แต่สิ่งสำคัญที่สุด นั่นคือ สติและความสามัคคี
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องคาถา (อังกฤษ: The Spell) จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ปัญญาไหวพริบควบคู่กับธรรมะในการเอาตัวรอดจากสถานการณ์อันตราย โดยไม่อาศัยกำลังหรือการตอบโต้ด้วยความรุนแรง
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อภิกษุรูปหนึ่งกล่าวถึงความพิเศษของเวทมนตร์ที่ตนเคยศึกษามาก่อนบวช และแสดงความสงสัยว่า ธรรมะเพียงอย่างเดียวจะสามารถช่วยเขาให้รอดพ้นจากภยันตรายต่าง ๆ ได้จริงหรือไม่
พระองค์จึงตรัสเล่าชาดกเรื่องพราหมณ์ผู้ใช้คาถาแต่ไม่ตกเป็นทาสของคาถา ด้วยการผสมผสานทั้งความรู้ ความอดทน และการรู้เท่าทันจิตใจมนุษย์ เพื่อให้ภิกษุเห็นว่าธรรมะไม่ขัดกับโลก แต่คือสิ่งที่อยู่เหนือโลก และสามารถเป็นหลักให้ใจมั่นคงแม้ในยามคับขันที่สุด
ชาดกเรื่องนี้จึงให้แง่คิดทั้งในด้านโลกียะและโลกุตตระ หมายความว่า ว่าความเฉลียวฉลาดนั้นไม่มีความหมายเลย หากปราศจากสติและเมตตาในการใช้มัน
คติธรรม: “ผู้มีปัญญา ไม่เพียงรู้ว่าคาถาใช้เมื่อไร แต่รู้ด้วยว่าควรใช้เพื่อสิ่งใด เพราะอำนาจใด ๆ ในโลก หากปราศจากสติ ย่อมนำพาไปสู่ความพินาศ มากกว่าความรอด”