บางคำถามดูเหมือนง่าย แต่ยิ่งคิดยิ่งลึก ยิ่งตอบยิ่งไกลจากคำเฉลย ในเส้นทางแห่งเซน คำถามเหล่านี้ไม่ได้ต้องการคำตอบที่ถูกต้อง… แต่ต้องการจิตที่ตื่นขึ้น
มีนิทานเซนเรื่องหนึ่งที่เล่าถึงเด็กชายผู้กล้าหาญ ผู้กล้าเข้าเฝ้าพระอาจารย์เพื่อขอคำสอนเช่นเดียวกับศิษย์ผู้ใหญ่ แต่สิ่งที่เขาได้รับ… ไม่ใช่บทเรียนธรรมดา หากเป็นคำถามที่ไม่มีเสียงตอบกลับเลยตลอดทั้งปี คำถามที่ดูเหมือนล้อเล่น แต่กลับเปลี่ยนจิตวิญญาณของเขาไปตลอดกาล กับนิทานเซนเรื่องเสียงของมือเดียว

เนื้อเรื่องนิทานเซนเรื่องเสียงของมือเดียว
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ วัดเค็นนินในเกียวโต มีพระอาจารย์เซนผู้เป็นที่เลื่องลือชื่อว่า “โมคุไร” ซึ่งแปลว่า “สายฟ้าอันเงียบงัน” ท่านเป็นปรามาจารย์เซนผู้เปี่ยมด้วยปัญญาอันลึกซึ้งจนแม้แต่การสอนก็แทบไม่ต้องใช้คำพูด
ทุกเช้าและเย็น ศิษย์ผู้ใหญ่จะทยอยเข้าห้องของอาจารย์เพื่อทำซันเซ็น การสนทนาส่วนตัวเพื่อขจัดความฟุ้งซ่านในจิต พวกเขาจะได้รับโคอัน คำถามที่ไม่อาจใช้เหตุผลตอบได้ เพื่อผลักจิตให้ข้ามพ้นการคิดแบบสามัญ
ท่ามกลางศิษย์เหล่านั้น มีเด็กชายอายุเพียงสิบสองปีชื่อโทะโยะ ผู้เป็นศิษย์ตัวเล็กที่สุดในวัด เขาเฝ้ามองรุ่นพี่เข้าออกห้องอาจารย์ด้วยความใฝ่รู้ ใจหนึ่งก็อยากลองทำซันเซ็นเช่นเดียวกัน
คืนหนึ่ง เขาเดินเข้าไปหาพระอาจารย์ แล้วกล่าวเสียงแผ่ว “อาจารย์ขอรับ… ผมอยากเข้าไปทำซันเซ็นบ้าง…”
ปรามาจารย์โมคุไรเหลือบมองเขาเล็กน้อย “เจ้าตัวเล็กเกินไป ยังไม่ถึงเวลา…”
“แต่ขอรับ ผมตั้งใจจริง ๆ…” โทะโยะก้มศีรษะจนหน้าผากแนบพื้น
อาจารย์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
คืนนั้น โทะโยะสวมจีวรเรียบร้อย เดินไปยังหน้าห้องซันเซ็นของอาจารย์ เขาตีฆ้องเพื่อแจ้งการมา บูชาด้วยการโค้งสามครั้ง แล้วจึงนั่งลงอย่างสงบตรงหน้าท่านอาจารย์
ปรามาจารย์โมคุไรลืมตาช้า ๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เจ้ารู้ใช่ไหม ว่าเสียงของสองมือนั้นคือเสียงปรบมือ…”
“ขอรับ…” โทะโยะตอบ
พระอาจารย์โมคุไรกล่าวต่อ “เช่นนั้น… จงแสดงให้ข้าดูสิ ว่าเสียงของมือเดียวเป็นเช่นไร”
โทะโยะนิ่งงัน เขาไม่เข้าใจคำถาม แต่ก็โค้งคำนับ ถอยออกมาเงียบ ๆ แล้วกลับไปที่ห้องน้อยของตนเอง
ขณะนั่งอยู่ริมหน้าต่างในยามค่ำ เขาได้ยินเสียงดนตรีจากบ้านเกอิชาที่อยู่ไกลออกไป เพลงพิณค่อย ๆ ไหลผ่านลมมาเข้าหู
“อ๋อ… เข้าใจแล้ว!” เขาพูดกับตัวเองอย่างตื่นเต้น “เสียงนี้แหละ คือเสียงของมือเดียว!”
คืนถัดมา เขากลับมาหาอาจารย์ด้วยแววตาเปล่งประกาย เมื่อปรามาจารย์โมคุไรถาม “แสดงเสียงของมือเดียวให้ข้าดูสิ”
โทะโยะเริ่มเลียนเสียงดนตรีจากบ้านเกอิชา
ปรามาจารย์โมคุไรส่ายหน้าเบา ๆ แล้วกล่าวด้วยเสียงเย็น “ไม่ใช่เลย นั่นคือเสียงของพิณ ไม่ใช่เสียงของมือเดียว… เจ้ายังไม่เข้าใจ”
โทะโยะก้มศีรษะอีกครั้ง คราวนี้… เขาเริ่มรู้แล้วว่าคำตอบไม่ได้อยู่ในเสียงดนตรีใด ๆ เลย

หลังคำปฏิเสธนั้น โทะโยะย้ายออกจากห้องที่อยู่ใกล้ถนนและเสียงดนตรี เขาเลือกไปอยู่ยังมุมวัดที่เงียบที่สุด ไม่มีเสียงพิณ ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้าของผู้คน
ในความเงียบนั้น เขานั่งเพ่งพิจารณา “ถ้าไม่ใช่เสียงดนตรี… แล้วเสียงของมือเดียวคืออะไร?”
คืนนั้น ขณะฟังเสียงน้ำหยดจากชายคา เขาฉุกคิดขึ้นมา “เสียงนี้แหละ! เสียงน้ำหยด… คือนั่นเอง!”
วันรุ่งขึ้น เขารีบไปหาอาจารย์ และเมื่อถูกถามอีกครั้ง โทะโยะจึงเลียนเสียงน้ำหยดอย่างตั้งใจ
ปรามาจารย์โมคุไรหลับตาฟังครู่หนึ่ง แล้วส่ายหัว “นั่นคือเสียงน้ำหยด ไม่ใช่เสียงของมือเดียว”
ครั้งถัดมา เขานำเสียงลมพัด เสียงนกฮูก เสียงจิ้งหรีด เสียงสายลมที่ซุกซนในป่าหลังวัด ทุกเสียงที่ธรรมชาติมอบให้ เขานำมาเสนอต่ออาจารย์
แต่ทุกครั้ง คำตอบยังคงเหมือนเดิม “ยังไม่ใช่…”
เดือนแล้วเดือนเล่า โทะโยะกลับมาอีกนับสิบครั้ง พร้อมเสียงใหม่ ๆ และความตั้งใจเดิม แต่ไม่เคยได้รับคำตอบที่ต้องการเลยสักครั้ง
คืนหนึ่งหลังผ่านไปเกือบหนึ่งปี โทะโยะนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่กลางลานวัด เขาไม่ได้ฟังเสียงอะไรอีกแล้ว เขาไม่ได้แม้แต่พยายามหาเสียงใหม่ เขาเพียงแค่นั่ง… กับความว่างเปล่า
ไม่มีความคิด ไม่มีการเปรียบเทียบ ไม่มีการคาดหวัง เขาเพียงแค่ “อยู่” กับความเงียบอย่างเต็มตัว
รุ่งเช้า เขาไปหาอาจารย์อีกครั้งโดยไม่มีบทแสดง ไม่มีเสียงเลียนแบบใด ๆ เขาเพียงนั่งลง หลับตา แล้วสงบอยู่เฉย ๆ
ปรามาจารย์โมคุไรยิ้มเพียงเล็กน้อย “ในที่สุด… เจ้าก็พบแล้ว…”
ต่อมา โทะโยะกล่าวถึงช่วงเวลานั้นว่า “ข้าไม่สามารถรวบรวมเสียงใดได้อีก… สุดท้ายจึงไปถึงเสียงที่ไม่มีเสียง”
และนั่นเอง คือ “เสียงของมือเดียว” เสียงที่ไม่มีเสียง… แต่ดังก้องในจิตผู้ตื่นรู้ เสียงที่ไม่ได้ยินด้วยหู… แต่เข้าใจได้ด้วยหัวใจที่สงบ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… บางคำถาม ไม่ได้มีคำตอบที่ฟังได้ด้วยหู หรือคิดได้ด้วยเหตุผล แต่รอให้จิตสงบนิ่งจนพ้นเสียงทั้งปวง แล้วจึง “รู้” ได้จากภายใน การไล่ตามคำตอบด้วยความคิด เสมือนตามหาน้ำในทะเลทรายที่ร้อนรุ่ม ยิ่งดิ้น ยิ่งไกล ยิ่งคิด ยิ่งหลง แต่เมื่อปล่อยวางทุกเสียง ทุกความพยายาม จิตจึงโปร่งใสพอจะรับรู้ความจริงที่เงียบงัน
โทะโยะพยายามไขโคอันด้วยเสียงจากภายนอก ทั้งเสียงพิณ เสียงน้ำ เสียงลม เสียงแมลง ทุกอย่างล้วนถูกปฏิเสธ เพราะไม่ใช่คำตอบที่แท้จริง เสียงของมือเดียวไม่ใช่สิ่งที่ “เลียนแบบ” ได้ แต่คือเสียงของจิตที่หลุดพ้นจากความคิด เสียงที่ไม่มีเสียง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อจิตสงบอย่างแท้จริง ปรามาจารย์โมคุไรไม่ได้สอนด้วยคำเฉลย แต่ปล่อยให้ศิษย์เผชิญกับความว่างเปล่าจนกระทั่ง “ความเข้าใจ” บังเกิดขึ้นเอง เงียบแต่ดังก้องในใจตลอดชีวิต
อ่านต่อ: นิทานเซนเข้าถึงปรัชญาความเงียบสงบและการปล่อยวางของชีวิต
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเซนเรื่องเสียงของมือเดียว (อังกฤษ: The Sound of One Hand) มีที่มาจากบันทึกเรื่องราวการเรียนรู้ของพระอาจารย์เซนชื่อปรามาจารย์โมคุไร (Mokurai หมายถึง “สายฟ้าที่เงียบงัน”) ซึ่งเคยจำพรรษาอยู่ที่วัดเค็นนินจิ (Kennin-ji) ในเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น
เรื่องราวนี้ปรากฏอยู่ใน 101 Zen stories และหนังสือชื่อ “Zen Flesh, Zen Bones” ซึ่งเป็นหนังสือรวมเกร็ดธรรมะและนิทานเซนที่โด่งดังในโลกตะวันตก รวบรวมโดย Paul Reps และ Nyogen Senzaki โดยอิงจากคำสอนเซนญี่ปุ่นในยุคโบราณ
โคอัน “เสียงของมือเดียว” (What is the sound of one hand clapping?) เป็นหนึ่งในโคอันที่มีชื่อเสียงที่สุดในนิกายเซน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปลุกจิตให้ข้ามพ้นความคิดเชิงตรรกะ และเข้าถึงความจริงผ่านประสบการณ์ตรงของจิตที่ตื่นรู้ ไม่ใช่คำตอบที่อธิบายได้ แต่เป็น “การรู้” ที่เกิดขึ้นในความเงียบของใจ และโคอันนี้ยังใช้สอนในนิทานเซนเรื่องอีกสามวันอีกด้วย
เรื่องราวนี้จึงเป็นบทเรียนคลาสสิกในวิถีเซน และมักถูกใช้ในการฝึกปฏิบัติสมาธิอย่างลึกซึ้ง เพื่อพาผู้ปฏิบัติก้าวพ้นกรอบของความคิดธรรมดา
คติธรรม: “คำตอบบางคำ ไม่ได้เกิดจากการค้นหา แต่เกิดจากการหยุดค้นหา”