ในโลกที่เต็มไปด้วยความสัมพันธ์ระหว่างกัน บางครั้งความผิดพลาดหรือการกระทำที่รุนแรงอาจนำไปสู่ความสูญเสียและความเจ็บปวดที่ยากจะลืมเลือน เช่นเดียวกับเรื่องราวของชาวนาผู้โศกเศร้าและงูที่เต็มไปด้วยบาดแผลในใจ
ทั้งสองต่างถูกเชื่อมโยงด้วยเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิต แต่กลับทำให้ไม่อาจคืนดีกันได้ เรื่องราวนี้จะพาเราไปสำรวจผลของความเกลียดชังและความพยายามที่จะลบเลือนความเจ็บปวดกับนิทานอีสปเรื่องงูกับชาวนา
เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องงูกับชาวนา
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็ก ๆ มีชาวนาผู้ขยันขันแข็งอาศัยอยู่กับครอบครัวเล็ก ๆ ของเขา ในบ้านเรียบง่ายริมทุ่งนา ชาวนากับครอบครัวใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่มีงูตัวหนึ่งที่มักเลื้อยมาอยู่ใกล้ประตูหน้าบ้าน งูตัวนั้นไม่เคยแสดงท่าทีดุร้ายต่อคนในบ้าน ชาวนาเห็นมันบ่อยครั้งก็คิดว่ามันคงไม่มีพิษภัยอะไร
วันหนึ่งในช่วงเช้าของฤดูใบไม้ผลิ ลูกชายตัวเล็กของชาวนากำลังวิ่งเล่นอยู่บริเวณหน้าบ้าน เขาวิ่งไปหยุดใกล้ ๆ กับงูที่นอนขดตัวอยู่โดยไม่ได้สังเกต เมื่อเด็กชายก้าวเท้าเข้าใกล้ งูตกใจและพุ่งฉกเข้าที่เท้าของเขา
เด็กชายร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงกับพื้น ภรรยาของชาวนาได้ยินเสียงก็รีบวิ่งออกมาดู แต่ก็สายเกินไป พิษของงูร้ายแรงเกินกว่าที่ใครจะช่วยได้ เด็กชายสิ้นใจในเวลาไม่นาน
เสียงร้องไห้ของแม่ดังก้องไปทั่วบ้าน ชาวนารีบกลับมาพบภรรยานั่งกอดร่างไร้ลมหายใจของลูกชาย เขารู้สึกโกรธแค้นงูอย่างสุดหัวใจ ความเศร้าโศกเปลี่ยนเป็นความโกรธทันที “มันต้องชดใช้สิ่งที่มันทำ ข้าจะฆ่ามันด้วยมือของข้าเอง!” ชาวนาคำราม
เขาคว้าขวานประจำตัวและวิ่งออกไปตามหางู งูที่เพิ่งฉกลูกชายของชาวนาหนีไปซ่อนตัวในพุ่มไม้ ชาวนาเห็นร่องรอยของมันจึงรีบวิ่งตาม เมื่อเขาพบงู เขาเงื้อขวานขึ้นสุดแรงหวังจะฟันให้มันตายทันที
แต่เมื่อขวานฟันลง มันพลาดเป้าหมาย งูเลื้อยหนีทันก่อนที่คมขวานจะถึงตัว มีเพียงปลายหางของงูที่ถูกฟันขาด งูร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดและรีบเลื้อยหนีไปซ่อนตัวอยู่ในซอกหิน
ชาวนายืนมองขวานในมือด้วยความหงุดหงิด “มันยังไม่ตาย ข้าต้องหามันให้เจอ ข้าจะไม่หยุดจนกว่ามันจะจบสิ้น!”
หลายวันผ่านไป ชาวนาพยายามหางูตัวนั้น แต่ก็ไม่พบ ทุกครั้งที่เขาเดินผ่านหลุมศพลูกชาย ความเศร้าโศกก็ท่วมท้นจิตใจ แต่ไม่นาน ความโกรธแค้นของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นความสับสนและเสียใจ
“ข้าทำอะไรลงไป? ข้าควรจะจัดการเรื่องนี้ให้จบอย่างสันติหรือไม่?” เขาพูดกับตัวเองในค่ำคืนหนึ่ง
ในที่สุด เขาตัดสินใจว่าจะพยายามคืนดีกับงูเพื่อให้เรื่องทั้งหมดจบลง เขานำขนมปัง น้ำ น้ำผึ้ง และเกลือ พร้อมไปยังซอกหินที่งูซ่อนตัวอยู่ เขาวางของเหล่านั้นลงใกล้ปากทางเข้าและร้องเรียกงูด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ออกมาเถอะ งู ข้ามาขอคืนดีกับเจ้า เราจงอยู่อย่างสงบสุขกันเถอะ ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้าอีก”
งูที่ซ่อนตัวอยู่ส่งเสียงขู่เบา ๆ ก่อนจะเลื้อยออกมาเล็กน้อย ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความระแวง มันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มนุษย์เอ๋ย อย่าได้พยายามอีกเลย ไม่มีทางที่เราจะเป็นมิตรกันได้อีก ทุกครั้งที่ข้ามองปลายหางของตัวเอง ข้าก็ยังเจ็บปวด และเช่นเดียวกันกับเจ้า ทุกครั้งที่เจ้ามองหลุมศพของลูกชาย เจ้าย่อมไม่มีวันให้อภัยข้าได้ เราอย่าได้มาพบกันอีกเลย”
คำพูดของงูทำให้ชาวนานิ่งไป เขารู้ว่าสิ่งที่มันพูดนั้นจริง ทุกครั้งที่เขามองหลุมศพลูกชาย ภาพแห่งความเจ็บปวดจะกลับมา และงูก็ไม่อาจลืมความเจ็บปวดที่เขาเคยทำร้ายมันได้
ชาวนากลับบ้านด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เขาเข้าใจแล้วว่า ความสูญเสียและความเกลียดชังที่ฝังลึกในใจของทั้งสองฝ่ายทำให้ไม่มีวันคืนดีกันได้
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความเจ็บปวดและความเกลียดชังที่ยังฝังลึกในใจ ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการคืนดีและการให้อภัย แม้เราจะพยายามลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต แต่ตราบใดที่ยังมีสิ่งเตือนใจถึงความสูญเสีย ความสงบสุขระหว่างกันก็อาจไม่อาจเกิดขึ้นได้ การให้อภัยเป็นสิ่งสำคัญ แต่การลืมความเจ็บปวดในอดีตนั้นต้องการเวลาและความตั้งใจจากทั้งสองฝ่าย
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานอีสปเรื่องงูกับชาวนา (อังกฤษ: The Snake and the Farmer) เป็นนิทานที่เชื่อว่าเป็นของอีสป ซึ่งมีทั้งเวอร์ชันโบราณและเวอร์ชันที่พัฒนาขึ้นในยุโรปและอินเดียตั้งแต่ยุคกลาง นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 51 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) โดยมีธีมหลักคือ “มิตรภาพที่แตกหักไม่อาจเยียวยาได้”
ไม่มีใครสามารถละทิ้งความเกลียดชังหรือการแก้แค้นได้ ตราบใดที่ยังมีสิ่งเตือนใจถึงความเจ็บปวดที่เขาเคยเผชิญ
แม้ว่านิทานนี้จะยอมรับถึงความเป็นไปได้ของความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับงู แต่ในนิทานเรื่องอื่นที่มีชื่อคล้ายกันอย่างชาวนากับงูเห่า กลับปฏิเสธความเป็นไปได้นั้นโดยสิ้นเชิง