บางคำสอน ไม่ได้เปล่งออกมาด้วยเสียง บางบทเรียน ไม่ได้เริ่มต้นด้วยถ้อยคำใด ๆ หลายครั้ง เรามักแสวงหาความหมายจากสิ่งที่ได้ยิน ได้อ่าน หรือได้ฟัง แต่กลับมองข้ามสิ่งที่เงียบงันอยู่ตรงหน้า ทั้งที่ในความเงียบงันนั้น อาจซ่อนคำตอบที่เราเฝ้าตามหาอยู่เสมอ
มีนิทานเซนเรื่องหนึ่ง ที่ไม่พูดถึงคำสอน ไม่กล่าวถึงพระสูตร ไม่แม้แต่เอ่ยวาจาใด แต่กลับเปลี่ยนชีวิตศิษย์ทั้งวัด และปลุกเสียงธรรมะขึ้นมาอย่างไม่มีวันดับ กับนิทานเซนเรื่องวัดเงียบ

นิทานเซนเรื่องวัดเงียบ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ เชิงเขาอันเงียบสงบในเมืองเกียวโต มีวัดเก่าแก่ชื่อ “โทฟุกุจิ” ตั้งอยู่เงียบ ๆ ท่ามกลางธรรมชาติ ท่ามกลางไผ่ที่ลู่ลมและแสงแดดอ่อนยามเช้า มีพระอาจารย์เซนรูปหนึ่งชื่อว่าโชอิจิ ผู้มีดวงตาเพียงข้างเดียว แต่สายตานั้นกลับเปล่งประกายแห่งปัญญาญาณที่ลึกซึ้งยิ่งนัก
พระอาจารย์โชอิจิไม่ใช่เพียงพระอาจารย์ธรรมดา ท่านมีวัตรปฏิบัติที่แตกต่างจากวัดทั่วไป และมีถ้อยคำที่ศิษย์ต่างเก็บไว้เป็นอมตะว่า “ความเงียบ คือเสียงของโพธิญาณ”
ที่วัดโทฟุกุจิ ไม่มีเสียงระฆัง ไม่มีเสียงสวด ไม่มีแม้แต่เสียงพูดจากของศิษย์ใด ๆ ทั้งสิ้น ทุกวัน ทุกคืน วัดทั้งวัดเหมือนหยุดนิ่งอยู่ในมิติแห่งความสงบ แม้ใบไม้ร่วงแตะพื้นก็แทบจะได้ยินเสียงชัดเจน
ครั้งหนึ่ง ศิษย์ใหม่คนหนึ่งชื่อเคนโตะ เณรน้อยผู้เพิ่งมาจากวัดทางเหนือ เดินเข้ามาถามอาจารย์หลังจากนั่งสมาธิจนเมื่อยขา “อาจารย์ขอรับ ทำไมที่นี่ถึงไม่มีใครสวด ไม่มีเสียงบทสวดเลยแม้แต่น้อย?”
พระอาจารย์โชอิจิลืมตามองเณรหนุ่มด้วยสายตานิ่ง ก่อนจะตอบด้วยเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่น “เพราะเสียงในใจเจ้าดังพออยู่แล้ว… จงเงียบ เพื่อฟังเสียงภายในนั้นให้ชัด”
นับแต่นั้น ศิษย์ทั้งวัดต่างใช้เวลาทั้งวันในการนั่งสมาธิ ไม่มีบทเรียน ไม่มีพระสูตร ไม่มีการสวดมนต์ มีเพียงเสียงลมหายใจของตนเอง และเสียงธรรมชาติรอบกายที่เปรียบเสมือนครูสอนอีกองค์หนึ่ง
แม้แต่ยามรับประทานอาหาร ศิษย์ทั้งหลายก็ไม่พูดกันเลยสักคำ ทุกชามข้าว ทุกช้อนซุป ล้วนกลายเป็นการภาวนาในรูปแบบหนึ่ง
วันหนึ่ง มีเสียงกวาดลานเบา ๆ ดังขึ้นตอนรุ่งเช้า เณรเคนโตะเดินเข้าไปถามพี่ศิษย์คนหนึ่งว่า “พี่ชาย ท่านอาจารย์ไม่ให้แม้แต่เสียงกวาดลานเหรอขอรับ?”
พี่ศิษย์คนนั้นยิ้มเพียงเล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยเสียงกระซิบ “ถ้ากวาดด้วยใจที่เงียบ แม้ไม้กวาดก็ไม่ส่งเสียง”

คืนหนึ่ง เดือนเต็มส่องแสงสีนวลเหนือหลังคาวัด ลมค่ำพัดผ่านลานทราย เงาต้นสนทอดยาวบนพื้นราวกับพู่กันจารึกบทกวีแห่งความว่างเปล่า
ภายในกุฏิไม้หลังเล็ก พระอาจารย์โชอิจินั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่เช่นทุกคืน ท่ามกลางความมืดและความเงียบที่ลึกเกินคำบรรยาย ศิษย์ทั้งวัดก็ยังคงนั่งสมาธิอย่างสงบ ไม่มีใครรู้ว่าอาจารย์นั่งเช่นนี้มากี่ชั่วโมงแล้ว หรืออาจจะหลายวันด้วยซ้ำ
รุ่งเช้าวันหนึ่ง ศิษย์คนหนึ่งเข้าไปถวายชาร้อนให้อาจารย์ แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไป กลับพบว่าพระอาจารย์โชอิจินั่งนิ่ง ดวงตาที่เหลืออยู่ข้างเดียวปิดสนิท ริมฝีปากมีรอยยิ้มบาง ๆ
“อาจารย์…” ศิษย์เอ่ยเรียกด้วยเสียงเบา แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ
เณรน้อยเคนโตะซึ่งอยู่ด้านหลังรีบเข้ามา ก่อนจะทรุดลงคุกเข่า “อาจารย์… จากไปแล้ว…” เขาพูดด้วยเสียงสั่น รู้สึกถึงความว่างเปล่าที่ถาโถมมาดังคลื่นเงียบ
ทันใดนั้น เสียงระฆังวัดก็ดังขึ้น “ก่งงงง…” เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เสียงระฆังดังกังวานสะท้อนก้องไปทั่วหุบเขา ตามมาด้วยเสียงสวดพระสูตรจากกุฏิใหญ่ ศิษย์ทั้งวัดต่างรวมตัวกัน สวดส่งจิตครูผู้ล่วงลับ
ห่างออกไปในหมู่บ้านข้างวัด หญิงชราผู้เคยนำดอกไม้สดมาถวายหน้าประตูวัดในทุกวัน ได้ยินเสียงระฆังและเสียงสวดนั้น เธอหยุดยืนกลางทาง แล้วเงยหน้ามองยอดไม้ด้วยน้ำตาคลอ
“ท่านพระอาจารย์โชอิจิ… จากไปแล้วสินะ…” เธอพึมพำกับตนเองเบา ๆ
แม้จะไม่มีข่าวใดแพร่ออกไป แต่เสียงของการสวดนั้นได้บอกทุกคนในหมู่บ้านว่า วัดซึ่งเคยเงียบที่สุดในเกียวโต… เพิ่งสิ้นอาจารย์ผู้เปล่งแสงแห่งโพธิญาณ
ณ ลานทรายหน้ากุฏิ เสียงสวดค่อย ๆ จางหาย กลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง ทว่าความเงียบนี้ กลับไม่เหมือนเดิม มันเต็มไปด้วยเสียงแห่งปัญญาที่สืบทอดอยู่ในใจศิษย์ทุกคน
แม้ไร้เสียง… แต่คำสอนยังดังก้องไปชั่วนิรันดร์

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความเงียบไม่ใช่เพียงการไม่เปล่งเสียง แต่คือการวางใจอย่างสงบ จนสามารถได้ยินเสียงภายในตนเองอย่างแท้จริง เมื่อเราสงบจากภายนอก ใจเราจะเริ่มพูด เมื่อเราสงบจากภายใน สรรพสิ่งรอบตัวย่อมเป็นครู แม้เพียงลมหายใจ หรือเสียงไม้กวาด ก็อาจเป็นบทสวดอันลึกซึ้งยิ่งกว่าคำใด
พระอาจารย์โชอิจิไม่ได้ใช้บทเทศน์หรือคำสอนยืดยาว หากแต่ใช้ “ความว่างเปล่า” เป็นเครื่องมือกลั่นใจศิษย์ให้ใสบริสุทธิ์ การไม่ให้แม้แต่การสวดมนต์ เป็นการท้าทายให้ศิษย์เผชิญกับเสียงในใจตัวเองโดยตรง เมื่ออาจารย์จากไป เสียงระฆังและบทสวดจึงไม่ใช่พิธี หากคือการสำนึกถึงเสียงแห่งปัญญาที่เคยดำรงอยู่ในความเงียบงันนั้นเอง เสียงไม่ได้กลับมาเพื่อแทนการจากลา แต่กลับมาเพื่อสะท้อนว่า… เสียงแห่งธรรมะไม่เคยหายไปจากวัดนั้นเลย มันยังอยู่ในใจศิษย์ทุกคนเสมอ
อ่านต่อ: นิทานเซนเข้าถึงปรัชญาชีวิตความสงบ การปล่อยวาง
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเซนเรื่องวัดเงียบ (อังกฤษ: The Silent Temple) มีที่มาจากบันทึกชีวประวัติของพระอาจารย์โชอิจิ โคคูชิ (Shōichi Kokushi) หรือเอ็นนิ เบ็นเอน (Enni Ben’en) ท่านเป็นพระอาจารย์เซนผู้มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่พระพุทธศาสนานิกายเซนช่วงศตวรรษที่ 13 และเป็นผู้ก่อตั้งวัดโทฟุกุจิ (Tōfuku-ji) ที่เกียวโต
เรื่องราวนี้ปรากฏใน 101 Zen stories และในหนังสือ “Zen Flesh, Zen Bones” ซึ่งเป็นการรวบรวมนิทานเซนและเกร็ดธรรมะจากตะวันออกโดย Paul Reps และ Nyogen Senzaki
เรื่องของโชอิจิเป็นหนึ่งในนิทานที่แสดงให้เห็นถึงแนวคิดเซนที่ลึกซึ้ง โดยใช้ “ความเงียบ” เป็นเครื่องมือสอนธรรม ไม่ใช่ด้วยคำพูดหรือบทสวด แต่ด้วย “การไม่กระทำ” อย่างจงใจ ซึ่งสะท้อนหลักคำสอนสำคัญของเซนในการเข้าถึงสัจธรรมผ่านประสบการณ์ตรงและความว่างเปล่าแห่งจิตครับ
คติธรรม: “เมื่อเสียงแห่งโลกถูกรั้งไว้ด้วยความเงียบ เสียงแห่งใจจะดังก้องขึ้นมาเอง และในห้วงแห่งความเงียบนั้นเอง เราจะได้ยินความจริงที่คำพูดไม่อาจเอื้อนเอ่ย”