ไม่ใช่ทุกมิตรภาพจะดำรงอยู่ได้เพียงเพราะเริ่มต้นด้วยความจริงใจ หากความกลัว ความลังเล หรือความอยากได้เข้ามาแทนที่ ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามก็อาจค่อย ๆ จางหาย
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ที่กล่าวถึงมิตรภาพระหว่างผู้ทรงฤทธิ์กับผู้ถือศีล เรื่องราวที่เริ่มต้นด้วยศรัทธา แต่กลับจบลงด้วยความเงียบงัน ทิ้งคำถามไว้ในใจว่า…แท้จริงแล้ว เรารู้จัก “การเป็นมิตร” ดีพอหรือยัง? กับนิทานชาดกเรื่องราชาอสรพิษกับนักบุญ

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องราชาอสรพิษกับนักบุญ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กลางป่าอันสงบเงียบ มีอาศรมเล็ก ๆ ของนักบวชสองพี่น้องผู้ปฏิบัติตนด้วยความเคร่งครัด พวกเขาใช้ชีวิตเรียบง่าย เงียบสงบ และเต็มไปด้วยศรัทธาในธรรม
ในอีกมุมหนึ่งของป่า มีงูใหญ่ตนหนึ่งเป็นราชาแห่งเหล่าอสรพิษ เขามีอำนาจแปลงกายได้ตามใจนึก และยังครอบครองอัญมณีวิเศษที่สามารถบันดาลสิ่งต่าง ๆ ได้ตามปรารถนา
วันหนึ่ง ราชาอสรพิษแปลงกายเป็นมนุษย์ และเดินทางมาถึงอาศรม เขาได้พบกับน้องชายผู้อ่อนโยน ผู้ใจเปิดกว้างและไม่สงสัยในผู้ใด ทั้งสองพูดคุยกันหลายเรื่อง จนเกิดเป็นมิตรภาพแปลกประหลาดที่ไม่มีใครรู้
ตั้งแต่นั้นมา ราชาอสรพิษก็มาเยี่ยมอยู่เสมอ ในรูปของชายเร่ร่อนผู้ใจดี คำพูดของเขาลึกซึ้ง ราวกับรู้ใจผู้ฟัง ทำให้น้องชายรู้สึกอบอุ่นและเป็นที่ยึดเหนี่ยวในยามวิเวก
แต่วันหนึ่ง ราชาอสรพิษมาในร่างเดิมของตน งูใหญ่เกล็ดแวววาว ดวงตาเรืองแสง ในขณะที่ร่างเลื้อยเข้ามาในอาศรม น้องชายเห็นเข้าเต็มตา ร่างกายเขาชาวาบ หัวใจเต้นรัวด้วยความหวาดกลัว
“ท่านคือ… งู… ร่างนี้คือ…” เขาพูดไม่ออก
ราชาอสรพิษไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงจ้องกลับด้วยดวงตาแน่นิ่ง แล้วเลื้อยจากไปช้า ๆ ทิ้งไว้เพียงเงาแห่งความสะพรึงในหัวใจของชายผู้เคยคิดว่าเขาเป็นมิตร
จากวันนั้นเป็นต้นมา น้องชายก็เริ่มซูบซีด อ่อนแรง นอนไม่หลับ ความกลัวเกาะกินใจโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน
เมื่อพี่ชายเห็นน้องเริ่มทรุดลงทุกวัน จึงนั่งลงข้างเขาในยามค่ำและถามด้วยเสียงอ่อนโยน “เจ้ากำลังทุกข์ใจสิ่งใดกัน?”
น้องชายจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พี่ชายพยักหน้าช้า ๆ ก่อนกล่าวว่า “หากเจ้าไม่อยากพบเขาอีก… จงขอสิ่งที่เขาหวงแหนที่สุด เขาจะจากไปเอง”

เช้าวันถัดมา เมื่อราชาอสรพิษมาเยือนอีกครั้งในร่างมนุษย์ น้องชายมองเขาด้วยแววตาที่ไม่เหมือนเดิม สีหน้าเขายังแฝงความระแวงแม้จะพยายามยิ้มตอบ
ระหว่างที่พูดคุยกันตามปกติ เขาก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ “หากท่านมีสิ่งใดที่มีค่าที่สุด… ข้าขอได้หรือไม่?”
ราชาอสรพิษนิ่งไปชั่วครู่ ดวงตาที่เคยมีแต่ความเมตตากลับวูบไหวด้วยความผิดหวัง เขาไม่ตอบอะไร เพียงเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
แต่ชายผู้นั้นไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น วันต่อมาเขายังเอ่ยถามอีก และอีก วันแล้ววันเล่า เขายังคงขอสิ่งเดียวกันนั้นอย่างไม่รู้จักพอ
“หากท่านเป็นมิตรแท้… ท่านจะให้ข้าได้ใช่หรือไม่?”
ทุกครั้งที่เอ่ยถาม สีหน้าของราชาอสรพิษก็หม่นลงทีละน้อย จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาหยุดตรงหน้าชายผู้นั้น และกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ
“เจ้าขอมากเกินไปแล้ว… ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าจะไม่มาอีก”
คำพูดนั้นสั้น แต่หนักดั่งสายลมสุดท้ายก่อนเงียบงัน ร่างของราชาอสรพิษหายลับไปในพริบตา ราวกับไม่เคยมีอยู่จริง
นับแต่นั้นเป็นต้นมา อาศรมกลับมาเงียบงัน แต่น้องชายไม่เหมือนเดิม เขาไม่รู้สึกโล่งใจ ไม่รู้สึกปลอดภัย สิ่งที่เขาได้มาคือ “การไม่มีใครกลับมาอีก”
พี่ชายเฝ้ามองด้วยความสงบ เพราะรู้ว่ามิตรภาพแท้… ไม่ใช่สิ่งที่ควรถูกแลกกับของมีค่า และของมีค่า… ก็ไม่ควรถูกทวงจากใจที่ไม่เต็มใจจะให้
เขาไม่ได้ตำหนิน้อง เพียงแต่ปล่อยให้บทเรียนดำเนินไปด้วยตัวของมันเอง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… เมื่อความกลัวหรือความไม่เข้าใจแปรเปลี่ยนเป็นความต้องการควบคุม ความสัมพันธ์ที่เคยงดงามก็ย่อมจางหายไป
บางครั้งเรายอมรับใครในแบบหนึ่ง แต่เมื่อเห็นความจริงที่ต่างไป ใจกลับหวั่นไหว และพยายามจัดการสิ่งนั้นตามเงื่อนไขของตัวเอง ด้วยการคาดหวัง หรือเรียกร้องในสิ่งที่เขาไม่เต็มใจจะให้ สุดท้ายสิ่งที่เคยมี ก็อาจหลุดลับไปอย่างไม่มีวันย้อนกลับ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องราชาอสรพิษกับนักบุญ (อังกฤษ: The Serpent King and the Saint) จัดอยู่ในหมวดสัตว์ชาดก ซึ่งพระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน โดยในเรื่องนี้ พระองค์ทรงเสวยชาติเป็นราชาอสรพิษผู้มีฤทธิ์และเปี่ยมด้วยเมตตา
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเพื่อเตือนภิกษุผู้หนึ่งที่เริ่มแสดงท่าทีตีตัวออกห่างจากสหายเก่า เพียงเพราะได้เห็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกหวั่นใจ ทั้งที่สหายผู้นั้นยังคงมีความจริงใจและไม่เคยทำร้ายตน พระองค์จึงตรัสเล่าชาดกเรื่องนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่า มิตรภาพที่แท้จริงนั้นเปราะบางได้ หากความกลัวและความหวังผลเข้ามาแทนที่ความไว้วางใจ
ชาดกเรื่องนี้จึงไม่เพียงกล่าวถึงความกลัว แต่ยังสะท้อนว่า การพยายามควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงผู้อื่นเพื่อตอบสนองความสบายใจของตนเอง อาจทำให้เราสูญเสียสิ่งดีงามที่มีไปอย่างถาวร
คติธรรม: “บางครั้งสิ่งดีงามไม่ได้จากไปเพราะมันเปลี่ยนไป แต่เพราะใจเราไม่สามารถยอมรับในสิ่งที่มันเป็น”