ในโลกนี้มีการให้สองแบบ แบบที่ให้เพราะหวังผล และแบบที่ให้เพราะหัวใจบริสุทธิ์ บางครั้ง ผู้ที่ให้ กลับต้องเจ็บปวดมากกว่าผู้ที่รับ และบางครั้ง ผู้ที่รับอาจลืมไปว่าเขาได้สิ่งนั้นมาเพราะความเมตตา ไม่ใช่ความเป็นเจ้าของ
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ที่กล่าวถึงผู้ให้ผู้ไม่ลังเล แม้สิ่งที่เสียไปจะแลกมาด้วยความเจ็บปวด… และผู้รับที่ไม่เคยรู้จักคำว่าพอ จนสุดท้ายต้องเผชิญกับผลของความโลภที่ตนก่อไว้เอง กับนิทานชาดกเรื่องคนเห็นแก่ตัว

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องคนเห็นแก่ตัว
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ลึกเข้าไปในป่าร่มรื่น มีช้างเผือกตนหนึ่งอาศัยอยู่แต่เพียงลำพัง เขามีใจเปี่ยมด้วยเมตตา ไม่เคยทำร้ายสัตว์อื่น กินเพียงใบไม้ผลไม้ตามธรรมชาติ และใช้ชีวิตอย่างสงบในเงาไม้
วันหนึ่ง มีชายแปลกหน้าคนหนึ่งหลงเข้ามาในป่า เขาเดินอย่างอิดโรย เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ฝุ่นเกาะเต็มตัว เขาไม่ได้หลงเพราะเคราะห์ร้าย แต่เพราะเข้ามาแสวงหาโชคทองคำในป่าใหญ่
เมื่อชายผู้นั้นหมดเรี่ยวแรงก็ล้มลงใกล้ลำธาร ช้างเผือกที่อยู่ไม่ไกลรีบเดินเข้ามาด้วยความห่วงใย เขาใช้ลำงวงราดน้ำให้ชายคนนั้นฟื้นขึ้น
“ข้า… หลงทางมาหลายวัน… ไม่รู้จะออกไปทางไหน” ชายคนนั้นพูดพลางไอเบาๆ
ช้างเผือกใช้เท้าขุดผลไม้ใต้ดินขึ้นมาให้ชายผู้นั้นกิน แล้วพาเขาไปยังทางออกของป่า พร้อมส่งด้วยสายตาอ่อนโยน
ชายคนนั้นรอดชีวิต และรู้สึกโล่งใจอย่างมาก แต่สายตาของเขากลับจับจ้องไปที่สิ่งหนึ่ง… งาช้างขาวบริสุทธิ์ทั้งสองข้างที่ดูมีค่าเกินกว่าจะปล่อยให้เป็นของสัตว์ป่า
เขาจงใจกลับมาหาช้างเผือกอีกครั้งด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ท่านช้างเผือกผู้ใจดี… ข้าเป็นคนยากจน ไม่มีทรัพย์จะเลี้ยงครอบครัวได้เลย ขอข้าเอางาข้างหนึ่งไปขายเถิด”
ช้างเผือกนิ่งฟังด้วยใจอ่อนโยน เขาเข้าใจว่าความทุกข์ของผู้อื่นมีน้ำหนักกว่าความเจ็บของตน “หากมันช่วยให้เจ้าพ้นความลำบาก ก็เชิญเถิด” เขาตอบด้วยเสียงสงบ
ชายผู้นั้นจึงใช้มีดที่พกมา ตัดงาข้างหนึ่งออกไป แล้วรีบจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่แม้แต่จะมองย้อนกลับมา
ไม่นานหลังจากได้เงิน ชายคนนั้นก็ใช้หมดไปอย่างรวดเร็ว ความโลภในใจเริ่มเต้นเร้า เขาจึงกลับมาอีกครั้ง คราวนี้ขออีกข้างหนึ่ง… และช้างเผือกก็ให้โดยไม่ลังเล

เวลาผ่านไปไม่นาน ชายผู้นั้นก็หมดเงินลงอีกครั้ง คราวนี้เขานึกถึงช้างเผือกขึ้นมาอีก แม้ว่าจะไม่มีงาเหลืออยู่แล้ว เขาก็ยังคิดหาหนทางหาประโยชน์ต่อไป
เขากลับมาที่ป่าอีกครั้ง คราวนี้ไม่แสร้งทำหน้าทุกข์อีกต่อไป แต่เดินตรงเข้าไปหาอย่างคุ้นเคย
“ข้า… อยากได้รากของงาท่านด้วย” เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา “ข้าจะขุดมันขึ้นมาเอง”
ช้างเผือกเงียบอยู่ชั่วครู่ ใบหน้าสงบนิ่ง เขาไม่ถาม ไม่ปฏิเสธ เพียงพยักหน้าช้าๆ
ชายคนนั้นจึงหยิบมีดขึ้นมาอย่างไม่ลังเล เริ่มขุดรากของงาช้างเผือกที่ฝังอยู่ในเนื้อโดยไม่ใส่ใจว่าเลือดจะไหล หรือช้างเผือกจะเจ็บเพียงใด ช้างเผือกหลับตานิ่ง แม้เจ็บปวด แต่หัวใจกลับสงบนิ่งกว่าใคร
ทว่า การกระทำที่โหดร้ายเช่นนั้น มิได้หลุดรอดสายตาแห่งฟ้าเบื้องบน
เหล่าเทพเจ้าผู้เฝ้ามองด้วยความอดทนมาตลอด บัดนี้ขุ่นเคืองจนสุดจะทน สายลมพัดแรงขึ้นจากทิศทั้งสี่ พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือน
ชายคนนั้นหยุดมือ มองไปรอบ ๆ อย่างตกใจ ก่อนที่พื้นดินใต้เท้าจะเริ่มแยกออก ลำแสงแห่งเพลิงโผล่ขึ้นจากรอยแตกกลางดิน เสียงกัมปนาทสะเทือนก้องป่า
เปลวไฟพวยพุ่งโอบล้อมร่างของชายผู้เห็นแก่ตัวอย่างไร้ทางหนี เขาร้องลั่น แต่มันสายเกินไปแล้ว
ส่วนช้างเผือก… แม้บาดเจ็บ แต่ยังคงยืนนิ่งอยู่กลางป่า ใบหน้าเปื้อนเลือด แต่เต็มไปด้วยความสงบ
ธรรมะของเขาไม่อยู่ในคำพูด แต่อยู่ในการให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน แม้สิ่งนั้นจะเป็นชีวิตของเขาเอง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความเห็นแก่ตัวทำให้คนลืมความเจ็บของผู้อื่น แต่ผลของความโลภมักย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองเสมอ
ช้างเผือกผู้มีจิตใจงดงามไม่เคยลังเลที่จะเสียสละเพื่อช่วยเหลือ แม้จะต้องเจ็บปวดถึงชีวิต แต่คนผู้เห็นแก่ตัวกลับไม่รู้จักพอ จนสุดท้ายต้องพบจุดจบจากการกระทำของตนเอง ไม่ใช่เพราะเทพเจ้าลงโทษ หากแต่เพราะผลแห่งความโลภได้เติบโตจากภายใน
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องคนเห็นแก่ตัว (อังกฤษ: The Selfish Man) จัดอยู่ในหมวดสัตว์ชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน โดยในเรื่องนี้พระองค์เสวยชาติเป็นช้างเผือกผู้เปี่ยมด้วยเมตตา
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อภิกษุรูปหนึ่งตั้งคำถามว่า เหตุใดจึงควรให้ทานโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และจะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่รับทานมีความจริงใจหรือไม่ พระองค์จึงตรัสเล่าเรื่องช้างเผือกผู้เสียสละ เพื่อแสดงให้เห็นว่า “การให้” ที่บริสุทธิ์นั้น ไม่ขึ้นอยู่กับผู้รับ แต่อยู่ที่เจตนาของผู้ให้
แม้ช้างเผือกจะถูกเอาเปรียบหลายครั้ง แต่จิตใจที่ไม่หวั่นไหวในความดี กลับกลายเป็นแสงสว่างที่ทำให้ความโลภปรากฏเด่นชัด และถูกทำลายด้วยผลของมันเอง
คติธรรม: “ใจที่ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน คือแสงสว่างของโลก แต่ใจที่รับด้วยความโลภ คือเงามืดที่กลืนตัวเองในที่สุด”