ปกนิทานชาดกเรื่องนักพรตผู้เห็นแก่ตัว

นิทานชาดกเรื่องนักพรตผู้เห็นแก่ตัว

ในบางครั้ง สิ่งที่เรายึดมั่นว่าศักดิ์สิทธิ์ อาจเป็นเพียงข้ออ้างที่ปกปิดใจที่ยังไม่หลุดพ้น มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ที่กล่าวถึงผู้ครองเพศพรต ผู้ดูเหมือนละวางจากโลกภายนอก

แต่เขากลับยึดติดในสิ่งที่ไม่ควรยึดที่สุด… และเมื่อธรรมชาติทวงคืนสิ่งที่ไม่เป็นธรรม คำสอนอันแท้จริงจึงปรากฏผ่านบทเรียนที่ไม่มีบทเทศนา กับนิทานชาดกเรื่องนักพรตผู้เห็นแก่ตัว กับนิทานชาดกเรื่องนักพรตผู้เห็นแก่ตัว

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องนักพรตผู้เห็นแก่ตัว

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องนักพรตผู้เห็นแก่ตัว

กาลครั้งงหนึ่งนานมาแล้ว ณ ริมแม่น้ำสายหนึ่ง มีสวนมะม่วงเขียวขจีร่มรื่น และในสวนแห่งนั้น มีนักพรตคนหนึ่งอาศัยอยู่ภายใต้ศาลาไม้เก่า ๆ

แม้จะใส่ผ้ากาสาวพัสตร์และถือไม้เท้าเหมือนนักบวชทั่วไป แต่แท้จริงแล้ว เขาไม่ได้สนใจธรรมะหรือความสงบแต่อย่างใด สิ่งที่เขาหวงแหนมากที่สุดในชีวิต คือ… ผลมะม่วงในสวนนี้

ทุกเช้า เขาจะเดินตรวจต้นมะม่วงทีละต้น นับลูกมะม่วงอย่างระมัดระวัง ราวกับเป็นทองคำ “อย่าให้ใครมาแตะของข้าเชียว” เขาพึมพำอยู่เสมอ

เขาไม่ต้อนรับใคร ไม่ให้ใครพัก ไม่ให้ใครเด็ดแม้แต่ใบมะม่วง หากใครเดินผ่านสวน เขาจะจ้องด้วยสายตาแข็งกร้าว

“นักพรตผู้ใดมีใจเห็นแก่กิน เช่นนี้หรือ?” เทพเบื้องบนมองลงมาจากฟากฟ้า พลางถอนใจเบาๆ “ถึงเวลาแล้ว ที่เขาจะต้องเรียนรู้… ว่าธรรมะ ไม่ใช่ใบไม้ปิดความโลภได้”

วันหนึ่ง นักพรตออกไปบิณฑบาตในหมู่บ้านตามปกติ ทิ้งสวนไว้ลำพัง ไม่มีใครเฝ้า

ช่วงเวลานั้นเอง เทพเจ้าเสด็จลงมาอย่างเงียบงัน พร้อมลมแรงสายหนึ่งที่พัดผ่านสวนอย่างรวดเร็ว ใบมะม่วงปลิวว่อน กิ่งหัก ลูกมะม่วงหล่นกระจายทั่วพื้น บางลูกกลิ้งลงน้ำ บางลูกแหลกละเอียดคาต้น

เมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำ นักพรตกลับมาถึง เขาแทบล้มทั้งยืน

“ใคร… ใครมันทำแบบนี้!!” เขาตะโกนลั่น เดินไปก้มดูลูกมะม่วงที่ช้ำแตกทีละลูก “ของข้า… มะม่วงของข้า!!”

สายตาเขาเหลือบไปเห็นเด็กหญิงสี่คนเดินผ่านสวนอย่างสดใส เขารีบวิ่งพรวดออกไปขวางหน้าพวกเธอ

“หยุดเดี๋ยวนี้! เจ้าทั้งสี่ มันใช่ไหมที่ทำลายสวนของข้า!”

เด็กๆ ตกใจและสั่นกลัว “เปล่าๆ พวกข้าแค่เดินผ่านมาเท่านั้นจริงๆ” พวกเธอส่ายหน้า ร้องไห้ด้วยความอับอาย

นักพรตยืนจ้องพวกเธอด้วยความเคลือบแคลงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยให้เดินจากไปอย่างไม่เต็มใจ

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องนักพรตผู้เห็นแก่ตัว 2

เมื่อเด็กหญิงทั้งสี่เดินจากไป น้ำตายังเปื้อนแก้ม นักพรตกลับมายืนกลางสวนที่ถูกทำลาย สายตายังสอดส่ายหา “คนผิด” ไม่ละความโกรธ

“ไม่มีใครต้องการธรรมะของข้า… พวกเขาอยากได้แต่ผลมะม่วง… อยากขโมย!”

แต่ในขณะที่เขายืนพร่ำอย่างคลุ้มคลั่ง เสียงสายลมพลันเงียบลง สวนทั้งสวนเงียบสงัดราวไม่มีสิ่งมีชีวิตใดหลงเหลือ

แล้วทันใดนั้น… แสงหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าเขา ทอเรืองรองดุจเปลวเพลิงไร้ควัน รูปหนึ่งในร่างของเทพเจ้าผู้แต่งกายขาวสะอาด ดวงหน้าเรียบนิ่งแฝงพลัง

“โอ้ นักพรต… เจ้าปกป้องสวนยิ่งกว่าศีล ปกป้องผลไม้ยิ่งกว่าความเมตตา แม้เด็กหญิงผู้ไร้ความผิด เจ้าก็ยังกล่าวหาโดยไม่ฟัง”

นักพรตถอยหลังด้วยความตกใจ เขาสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ใบหน้าแปรเปลี่ยนจากโกรธเป็นหวาดกลัว

“มะ… มะม่วงของข้า… แล้วสวนของข้า…”

“มิใช่ของเจ้าแต่แรก” เทพเจ้าตอบ “เจ้ามิใช่เจ้าของธรรมชาติ หากเพียงมาอาศัย และเจ้าก็ลืมบทบาทนั้นไปสิ้นเสียแล้ว”

ในชั่วขณะนั้น เทพเจ้าก็ทำให้พื้นดินสั่นไหวเล็กน้อย ใบไม้ปลิวกระจายรอบตัวนักพรต ผู้ไม่เหลือความสงบใด ๆ บนใบหน้า

เขาทิ้งไม้เท้า วิ่งออกจากสวนอย่างไม่คิดชีวิต โดยไม่เหลียวกลับไปมองแม้เพียงครั้งเดียว

วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่ใครเห็นเขาในบริเวณนั้น

ส่วนเด็กหญิงทั้งสี่ ยังคงจำเหตุการณ์นั้นได้ดี ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะในเวลาต่อมา เทพเจ้าผู้มีเมตตาได้เสด็จไปหาพวกเธอ และตรัสว่า

“น้ำตาของผู้บริสุทธิ์… หนักกว่าใบไม้หนึ่งใบในสายลม”

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สวนมะม่วงกลับคืนความร่มรื่นอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะมีนักพรตมาเฝ้า แต่เพราะไม่มีผู้ใดถือกรรมสิทธิ์เหนือสิ่งที่ควรจะเป็นของทุกชีวิต

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องนักพรตผู้เห็นแก่ตัว 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ผู้ที่อ้างตนว่ารู้ธรรม หากยังยึดถือวัตถุและผลประโยชน์มากกว่าความเมตตา ก็เป็นเพียงเปลือกนอกที่กลบเกลื่อนความโลภในใจ

นักพรตเฝ้ามะม่วงยิ่งกว่าศีลที่ควรเฝ้า และกล่าวหาผู้บริสุทธิ์ด้วยใจที่ปราศจากกรุณา จนในที่สุดต้องเผชิญหน้ากับผลของความเห็นแก่ตัวที่ตนสร้างขึ้นเอง สวนที่เขาคิดว่าเป็นของตน… กลายเป็นเพียงฉากหนึ่งของบทเรียนที่ธรรมชาติจดจำ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานชาดกเรื่องนักพรตผู้เห็นแก่ตัว (อังกฤษ: The Selfish Ascetic) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ เพื่อแสดงธรรมสอนใจในรูปแบบของเหตุการณ์ที่สะท้อนพฤติกรรมของคนในชีวิตจริง

พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อมีภิกษุผู้หนึ่งแสดงความสงสัยว่า เหตุใดบางผู้คนที่ครองเพศบรรพชิตแล้ว จึงยังยึดติดในทรัพย์สินและแสดงอำนาจเหนือผู้อื่น พระองค์จึงตรัสเล่านิทานเรื่องนักพรตผู้เห็นแก่ตัวนี้ เพื่อให้เห็นว่า การครองเพศนักบวชภายนอก ไม่อาจปิดบังความโลภภายในได้เลย

ในเรื่องนี้ พระโพธิสัตว์มิได้ปรากฏเป็นตัวละครหลัก แต่ทรงแสดงให้เห็นอานิสงส์ของการไม่ถือโทษโกรธ และพลังของความเมตตาต่อผู้ที่ถูกใส่ร้าย

คติธรรม: “ผู้ที่ห่มผ้าแห่งธรรม แต่ยังยึดมั่นในสิ่งของ ย่อมหลงผิดยิ่งกว่าผู้ไม่รู้ธรรมเสียอีก”


by