ในผืนป่าที่เงียบงันและเปลี่ยวเหงา ชีวิตน้อย ๆ ดำเนินไปท่ามกลางความโหดร้ายของธรรมชาติ บางครั้ง ความหิวก็รุนแรงถึงขั้นทำให้ความเป็นแม่สั่นคลอน
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ที่กล่าวถึงการตัดสินใจของผู้มีใจบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งยอมวางทุกสิ่ง แม้แต่ลมหายใจของตนเอง เพื่อรักษาชีวิตเล็ก ๆ ที่ไม่มีแม้เสียงร้องขอ เป็นเรื่องราวของเมตตาที่ไม่เอ่ยคำ แต่เปลี่ยนแปลงโลกได้ในความเงียบ กับนิทานชาดกเรื่องฤๅษีผู้เสียสละตนเอง

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องฤๅษีผู้เสียสละตนเอง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าลึกอันสงบเงียบ มีฤๅษีผู้อาศัยอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ ริมลำธาร เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย มีเพียงศิษย์หนุ่มคนหนึ่งที่ติดตามเรียนรู้คำสอนอย่างตั้งใจ
วันหนึ่ง ทั้งสองออกเดินทางผ่านป่าทึบเพื่อตามหาสมุนไพร ระหว่างทาง พวกเขาได้ยินเสียงครางแผ่ว ๆ มาจากพุ่มไม้ ศิษย์ชะงักและมองไปตามเสียงนั้น
ที่ตรงนั้น มีแม่เสือซูบผอมจนซี่โครงขึ้นชัด กำลังยืนจ้องลูกน้อยของตนด้วยสายตาน่าหวาดหวั่น ลูกเสือทั้งสามคลานเข้าใกล้แม่ของมันด้วยความหิว แต่แม่เสือกลับคำรามแผ่ว ๆ ดวงตาของมันวูบไหวเหมือนกำลังต่อสู้กับบางสิ่งในใจ
“แม่มันหิวจัดจนคิดจะกินลูกตัวเอง” ฤๅษีพึมพำเบา ๆ
ศิษย์มองภาพนั้นอย่างตกตะลึง “เราจะทำอย่างไรดี?!”
ฤๅษีนิ่งเงียบอยู่อึดใจ ก่อนจะพูดเสียงแผ่ว “เจ้ารีบกลับกระท่อม นำอาหารแห้งที่เหลือมาให้เร็วที่สุด”
ศิษย์ยังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ด้วยความเคารพ เขาจึงรีบวิ่งกลับไปตามคำสั่ง ทิ้งให้ฤๅษียืนอยู่ตามลำพัง
เมื่อศิษย์ลับสายตา ฤๅษีก็หันไปมองแม่เสืออีกครั้ง น้ำตาเอ่อในดวงตา แต่เสียงหายใจของลูกเสือเล็ก ๆ ที่ร้องขอความเมตตาอยู่ตรงหน้านั้น ดังกว่าความกลัว
เขาถอดจีวรพาดไว้บนก้อนหิน แล้วค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาสัตว์ร้ายที่อดอยาก
“หากการสละชีวิตนี้ จะต่อลมหายใจให้กับลูกของเจ้า… จงเอาไปเถิด” เขาพูดเบา ๆ
แม่เสือคำรามอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่ด้วยความโกรธ แต่ด้วยสัญชาตญาณ เธอพุ่งเข้าใส่ และไม่นานก็ไม่มีเสียงใดหลงเหลือในพงไม้

ไม่นานนัก ศิษย์ก็วิ่งกลับมาพร้อมห่ออาหารในมือ แต่เมื่อถึงที่หมาย สิ่งที่เขาพบกลับไม่ใช่ภาพที่เขาคาดไว้
แม่เสือไม่ได้คำรามอีกต่อไป ใบหน้าของมันดูสงบลง และกำลังเลียขนลูกเสืออย่างอ่อนโยน ลูก ๆ ของมันเล่นคลอเคลียอยู่ข้าง ๆ ด้วยเสียงครางเบา ๆ
แต่ฤๅษี… ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
ศิษย์เดินเข้าไปอย่างระวัง สายตากวาดไปทั่วบริเวณ แล้วเขาก็เห็นเสื้อผ้าสีหม่นเปื้อนเลือดวางอยู่บนหินก้อนหนึ่ง
เขาทรุดลงตรงนั้น ห่ออาหารหล่นจากมือ
“ท่าน…” เสียงของเขาเบาเหมือนลมหายใจ
ไม่มีคำตอบ ไม่มีเสียงก้าวเท้า มีเพียงความเงียบอันหนักอึ้งที่รายล้อม
น้ำตาของศิษย์หยดลงบนผืนดิน เขามองดูแม่เสือที่ตอนนี้กลับกลายเป็นแม่ผู้สงบ ลูกน้อยของมันปลอดภัยและมีชีวิต
แม้จะโศกเศร้า แต่เขาก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
อาจารย์ของเขาไม่ได้จากไปด้วยความอ่อนแอ แต่ด้วยความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่กว่าคำใดจะอธิบายได้
เขาเก็บเสื้อผ้าที่เหลือไว้ในอ้อมแขน แล้วหันหลังกลับไปยังทางเดินเดิม ด้วยหัวใจที่อิ่มด้วยบทเรียนที่ไม่มีวันลืม
“ข้าจะจดจำ… ไม่ใช่เพียงคำสอนของท่าน แต่คือสิ่งที่ท่านกล้าสละ เพื่อชีวิตเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถร้องขออะไรได้เลย”
เขาเดินกลับไปพร้อมแสงแดดที่เริ่มอ่อนลง แต่ในใจของเขา… แสงแห่งเมตตายังคงสว่างอยู่เสมอ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้เกิดจากความกล้าหาญชั่ววูบ แต่เกิดจากความเมตตาที่ลึกซึ้งจนยอมวางแม้กระทั่งชีวิต เพื่อรักษาชีวิตอื่นไว้ ความเมตตาเช่นนี้ไม่ต้องการคำสรรเสริญ แต่เปลี่ยนใจผู้คนได้โดยไม่ต้องพูดแม้แต่คำเดียว
ฤๅษีมิได้สั่งสอนศิษย์ด้วยถ้อยคำ แต่ด้วยการกระทำที่เปี่ยมด้วยกรุณา ทำให้ผู้เห็น ได้เรียนรู้ว่าความดีแท้ไม่ต้องประกาศ และความรักที่แท้จริง ย่อมไม่เลือกว่าจะมอบให้ใคร
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องฤๅษีผู้เสียสละตนเอง (อังกฤษ: The Sage Who Sacrificed Himself) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ โดยในเรื่องนี้ พระองค์ทรงถือกำเนิดเป็นฤๅษีผู้เปี่ยมด้วยเมตตา มีใจสงบ เยือกเย็น และพร้อมเสียสละเพื่อลดทุกข์ของสรรพสัตว์
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งตั้งคำถามว่า การให้ทานสูงสุดคืออะไร และควรยอมเสียสละเพียงใดเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น
พระองค์จึงตรัสเล่าเรื่องของฤๅษีผู้ไม่เพียงสละสิ่งของหรืออาหาร แต่ถึงขั้นมอบชีวิตของตนเองเพื่อรักษาชีวิตเล็ก ๆ ที่ไม่มีแม้เสียงร้องขอ ซึ่งเป็นการให้ทานอันบริสุทธิ์ยิ่งนัก
ชาดกเรื่องนี้จึงสะท้อนให้เห็นว่า ความเมตตาที่แท้ ไม่จำกัดอยู่ที่เผ่าพันธุ์ ไม่จำกัดอยู่ที่การพูด แต่แสดงออกได้ด้วยการกระทำอันเสียสละที่สุด
คติธรรม: “เมตตาที่แท้ ไม่ถามว่าเขาเป็นใคร แต่ถามว่าเราพร้อมจะให้ได้แค่ไหน”