นิทานอีสปเรื่องต้นกุหลาบกับต้นบานไม่รู้โรย

ปกนิทานอีสปเรื่องต้นกุหลาบกับต้นบานไม่รู้โรย

ในสวนดอกไม้ที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ทั้งดอกไม้ที่มีสีสันสวยงามและดอกไม้ที่ยืนหยัดด้วยความเรียบง่าย แต่ละดอกต่างมีคุณค่าและบทบาทในแบบของตัวเอง ทว่าบางครั้ง ความแตกต่างเหล่านั้นกลับนำมาซึ่งความรู้สึกเปรียบเทียบและคำถามถึงคุณค่าของตนเอง

เช่นเดียวกับเรื่องราวของกุหลาบที่งดงามแต่เปราะบาง และต้นบานไม่รู้โรยที่เรียบง่ายแต่คงทน เรื่องราวของพวกเขาจะพาเราไปค้นพบความหมายของการยอมรับในตัวตนและบทบาทของตัวเอง ติดตามบทเรียนสำคัญนี้กับนิทานอีสปเรื่องต้นกุหลาบกับต้นบานไม่รู้โรย

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องต้นกุหลาบกับต้นบานไม่รู้โรย

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องต้นกุหลาบกับต้นบานไม่รู้โรย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ สวนดอกไม้ที่งดงามที่สุดในเมือง มีพุ่มกุหลาบที่โดดเด่นที่สุดในสวน ดอกของมันมีสีแดงสดและกลิ่นหอมหวานที่สามารถทำให้ผู้คนหลงใหลได้ในทันที ทุกเช้า ผู้คนมักแวะเวียนมาชื่นชมกุหลาบ ดอกไม้ที่พวกเขามองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความงามและความสง่างาม

ใกล้ ๆ กับต้นกุหลาบ มีต้นบานไม่รู้โรยเล็ก ๆ เติบโตอยู่ แม้มันจะไม่มีสีสันที่สดใสหรือกลิ่นหอมเย้ายวน แต่ดอกของมันกลับคงทนและไม่เหี่ยวเฉา ไม่ว่าจะผ่านฤดูกาลใด

เช้าวันหนึ่ง ต้นบานไม่รู้โรยมองดูพุ่มกุหลาบที่เบ่งบานอย่างเต็มที่ มันอดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชม “เจ้ากุหลาบ เจ้าช่างเป็นดอกไม้ที่งดงามเหลือเกิน! ดอกของเจ้ามีสีแดงสดและกลิ่นหอมที่ใคร ๆ ต่างหลงรัก เจ้าเป็นที่ปรารถนาของทั้งเทพเจ้าและมนุษย์ ข้ารู้สึกอิจฉาเจ้าเหลือเกิน”

กุหลาบได้ยินคำชื่นชมก็ยิ้ม แต่ในรอยยิ้มนั้นกลับมีแววเศร้า มันกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ขอบใจเจ้ามาก บานไม่รู้โรย ข้ารู้สึกภูมิใจที่ได้มอบความสุขให้กับผู้คน แต่เจ้ารู้หรือไม่ ความงดงามนี้แลกมาด้วยอะไร?”

ต้นบานไม่รู้โรยเอียงก้านด้วยความสงสัย “แลกมา? ข้าไม่เข้าใจ เจ้าเป็นดอกไม้ที่งดงามที่สุดในสวนนี้ ใคร ๆ ต่างก็หลงใหลในเจ้า เจ้ามีทุกสิ่งที่ข้าไม่มี ทำไมเจ้าจึงพูดเหมือนกำลังทุกข์ใจ?”

ต้นกุหลาบถอนหายใจลึก “เจ้าเห็นดอกของข้าที่กำลังเบ่งบานงดงามในตอนนี้ใช่ไหม? แต่ความงดงามนี้อยู่ได้ไม่นาน ทุกครั้งที่ข้าเริ่มบานเต็มที่ ก็เป็นช่วงเวลาที่ข้ากำลังจะร่วงโรย หากไม่มีใครเด็ดข้าไป ดอกของข้าก็จะร่วงหล่นลงพื้นในเวลาไม่กี่วัน ข้าคงอยู่ได้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น”

ต้นบานไม่รู้โรยมองกุหลาบด้วยความประหลาดใจ มันถามอย่างจริงใจ “แต่เจ้าเป็นที่รักของทุกคนไม่ใช่หรือ? เจ้ามอบความสุขให้ใครหลายคน แล้วทำไมเจ้าจึงเศร้ากับสิ่งนั้น?”

ต้นกุหลาบยิ้มเศร้า “เพราะทุกครั้งที่ข้าร่วงโรย ความงามของข้าก็ถูกลืม ผู้คนที่เคยชื่นชมข้า ก็เดินผ่านไปโดยไม่สนใจ ข้าอยากจะมีความคงทนเช่นเจ้า เจ้าไม่ต้องกังวลว่าดอกของเจ้าจะโรยรา เจ้ายืนหยัดอยู่ได้นาน แม้เวลาจะผ่านไป”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องต้นกุหลาบกับต้นบานไม่รู้โรย 2

บานไม่รู้โรยนิ่งคิด ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “บางทีเจ้าอาจมองในมุมที่แตกต่างกันไป ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนมีคุณค่าในแบบของมันเอง ความงดงามของเจ้าอาจอยู่เพียงช่วงสั้น ๆ แต่เจ้าสร้างความประทับใจและความสุขในช่วงเวลานั้นได้มากมาย ข้าอาจคงอยู่ได้นาน แต่ไม่มีใครหยุดมองข้าเหมือนที่พวกเขาชื่นชมเจ้า”

กุหลาบพยักหน้ารับคำพูดของบานไม่รู้โรย แต่ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง “บางทีความงามและการได้รับความชื่นชมก็ไม่คุ้มค่า หากต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดที่มาพร้อมกับการโรยรา ข้าคงต้องยอมรับในสิ่งที่ข้าเป็น แม้จะยังคงอิจฉาเจ้าอยู่”

วันเวลาผ่านไป กุหลาบที่เคยเบ่งบานก็เริ่มร่วงโรย กลีบดอกที่เคยแดงสดหล่นลงสู่พื้นทีละกลีบ ผู้คนที่เคยหยุดชื่นชมต่างเดินผ่านไปโดยไม่ได้หันกลับมามอง ต้นกุหลาบกลายเป็นเพียงก้านที่เปลือยเปล่า

ต้นบานไม่รู้โรยอยู่ใกล้ ๆ มองดูต้นกุหลาบที่ว่างเปล่าด้วยความเศร้า มันยังคงยืนหยัดด้วยดอกที่ไม่เหี่ยวเฉา แต่ในหัวใจของมันกลับรู้สึกว่างเปล่า มันเอ่ยขึ้นเบา ๆ ราวกับจะปลอบใจตัวเอง “ความงดงามที่เปราะบางอาจสร้างความสุขชั่วคราว แต่ความยั่งยืนของข้าก็ไม่ได้เติมเต็มความหมายไปทั้งหมด บางที สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพึงพอใจกับสิ่งที่เราเป็น”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องต้นกุหลาบกับต้นบานไม่รู้โรย 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความงดงามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการยอมรับและพอใจกับสิ่งที่เราเป็น แม้ความฟุ้งเฟ้อและความโดดเด่นจะดึงดูดความสนใจในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ความยั่งยืนและความเรียบง่ายกลับมอบคุณค่าในระยะยาว ทุกสิ่งในโลกนี้มีคุณค่าในแบบของมันเอง และการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นอาจทำให้เราลืมเห็นความสำคัญในสิ่งที่เรามี การพึงพอใจในตัวเองคือกุญแจสู่ความสุขที่แท้จริง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องต้นกุหลาบกับต้นบานไม่รู้โรย (อังกฤษ: The Rose and the Amaranth) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 369 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานเรื่องนี้แตกต่างจากนิทานพืชอื่น ๆ เช่น “ต้นโอ๊กกับต้นอ้อ” หรือ “ต้นไม้กับพุ่มหนาม” ที่ตัวละครมักจะโต้เถียงกันด้วยความหยิ่งทะนง แต่ในนิทานนี้ ดอกบานไม่รู้โรยผู้ต่ำต้อยกล่าวชื่นชมดอกกุหลาบด้วยความอ่อนน้อมในเรื่องความงามและชื่อเสียงของมัน และได้รับคำตอบด้วยความถ่อมตนเช่นกันว่า ชีวิตของดอกกุหลาบนั้นสั้นนัก ในขณะที่ดอกบานไม่รู้โรย (ซึ่งชื่อหมายถึง “ดอกไม้ที่ไม่ตาย”) กลับคงอยู่ชั่วนิรันดร์

ในยุคคลาสสิก นิทานนี้มีเฉพาะในภาษากรีก และแพร่เข้าสู่ยุโรปตะวันตกในภายหลัง หนึ่งในผลงานภาษาอังกฤษยุคแรกคือบทกวีของ บรูค บูธบี (Brook Boothby) ที่จบลงด้วยข้อคิด:

Love is the rose-bud of an hour, Friendship the everlasting flower.

ความรักดั่งดอกกุหลาบที่เบ่งบานเพียงชั่วครู่, มิตรภาพเปรียบดั่งดอกไม้ที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์

นิทานนี้สอนว่า การมีชีวิตที่ยาวนานและพอใจกับสิ่งเล็กน้อย ย่อมดีกว่าการมีชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อในช่วงสั้น ๆ แล้วต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงที่เลวร้าย หรือแม้กระทั่งความตาย

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com