บางครั้ง สิ่งที่ดูน่าเคารพที่สุด อาจซ่อนสิ่งที่ไม่คาดคิดไว้ภายใน และบางที สิ่งที่เราศรัทธา… อาจกลายเป็นบทเรียนที่เจ็บที่สุดในชีวิต
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ที่กล่าวถึงชายผู้ดูเหมือนละทางโลก แต่กลับซ่อนบางอย่างไว้ใต้รอยเคราและถ้อยคำเรียบง่าย เรื่องราวนี้จะพาเราไปรู้จักกับศรัทธา… และความจริงที่ไม่อาจหลบซ่อนอยู่ได้นาน กับนิทานชาดกเรื่องฤๅษีจอมลวง

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องฤๅษีจอมลวง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่สงบสุขแห่งหนึ่ง มีฤๅษีรูปร่างผอมสูง ผู้เดินทางมาโดยไม่บอกจุดหมาย เขาแต่งกายเรียบง่าย หนวดเครารุงรัง แววตาเศร้าลึกแบบผู้ละทางโลก ผู้คนในหมู่บ้านต่างพากันมองด้วยความเคารพ
ชายผู้มั่งคั่งที่สุดในหมู่บ้าน เมื่อเห็นฤๅษีก็มอบเรือนไม้เล็ก ๆ ข้างสวนให้พักอาศัย และมักนำอาหาร น้ำ และเครื่องใช้ไปถวายอย่างไม่ขาดสาย เพราะเชื่อว่าการดูแลฤๅษีเป็นบุญอย่างหนึ่ง
ชายมั่งคั่งผู้นั้นมีทองเก็บไว้มากมายในเรือนลับ เขาเฝ้าระแวงว่าจะมีผู้ลอบขโมย วันหนึ่งเขาจึงนำทองทั้งหมดไปฝากไว้กับฤๅษี โดยพูดเพียงสั้น ๆ ว่า “หากท่านเมตตา ช่วยเก็บสิ่งนี้ไว้ให้สักพัก ข้าจะได้นอนหลับโดยไม่ต้องกลัว”
ฤๅษีหลับตารับฟัง ไม่เอ่ยคำใด แต่พยักหน้าเบา ๆ ก่อนเก็บห่อทองไว้ใต้ผ้าทอหยาบอย่างเงียบงัน
ผ่านไปหลายวัน ฤๅษีเดินมาหาชายมั่งคั่ง และกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “ข้าได้พักพิงและอาศัยน้ำใจเจ้ามานานพอแล้ว บัดนี้ถึงเวลา ข้าต้องเดินทางต่อ”
ชายมั่งคั่งแม้จะเสียดาย แต่ก็ยิ้มรับและโค้งคำนับด้วยความเคารพ “ขอให้การเดินทางของท่านราบรื่น เป็นสิริมงคลแก่ทุกที่ที่เหยียบย่าง”
ฤๅษีจากไปโดยไม่มีคำร่ำลาเพิ่มเติม ท่ามกลางแสงแดดยามสายที่ส่องผ่านใบไม้ เสียงฝีเท้าของเขาจางหายไปในหมอกเช้า… แต่ไม่ทันไร เขาก็หวนกลับมาอีกครั้ง พร้อมสิ่งหนึ่งที่คีบออกมาจากเครา
“ข้าไม่เคยเก็บสิ่งใดของผู้อื่นไว้กับตน” ฤๅษีกล่าว พลางยื่นเศษฟางเส้นเล็ก ๆ ที่เขาแสร้งว่าได้พบในเคราให้กับชายมั่งคั่ง
ชายมั่งคั่งยิ้มกว้าง “ท่านช่างมีธรรมยิ่งนัก แม้เพียงเส้นฟางยังไม่ยอมเก็บไว้” และยิ่งศรัทธาในความซื่อตรงของฤๅษีมากขึ้น
แต่แล้ว คนหนึ่งที่ยืนอยู่ห่าง ๆ ซึ่งเป็นเพื่อนของชายมั่งคั่ง สังเกตเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยแววตาไม่ไว้ใจ เขาขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้าตรวจดูทองของเจ้าหรือยัง?”

คำพูดนั้นทำให้ชายมั่งคั่งชะงัก เขายิ้มจางลงแล้วหันไปมองเพื่อน “เจ้าคิดว่าฤๅษี…?”
เพื่อนของเขาพยักหน้าช้า ๆ “บางครั้ง ความดีที่แสดงออกมากเกินไป ก็อาจเป็นหน้ากากปิดบังสิ่งที่ซ่อนอยู่ก็ได้”
ไม่รอช้า ทั้งสองรีบตรงไปยังห้องเก็บทองในเรือนลับซึ่งชายมั่งคั่งเคยใช้ซ่อนสมบัติ พวกเขาค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไป ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล
ที่ตรงนั้น… ว่างเปล่า ไม่มีทองเหลือแม้แต่ชิ้นเดียว
“เป็นไปไม่ได้… ข้าเองเป็นคนเก็บ!” ชายมั่งคั่งร้องออกมา สีหน้าเปลี่ยนจากตกใจเป็นเจ็บปวด และจากเจ็บปวดเป็นโกรธจัด
พวกเขาออกตามหา ขุดรอยเท้า ถามชาวบ้าน และในที่สุดก็พบฤๅษีผู้กำลังเดินไปตามชายป่าอย่างเงียบงัน
เมื่อถูกเผชิญหน้า ฤๅษีในคราบผู้ทรงศีลกลับไม่สามารถเอ่ยคำแก้ตัวใด ๆ ได้ เขาเม้มปากแน่น มือกำจีวรตัวเอง จนในที่สุดก็ยอมรับว่าได้ขโมยทองไป และแสร้งทำเป็นผู้มีธรรมเพื่อให้คนวางใจ
ข่าวฤๅษีลวงโลกแพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้าน ราวกับเปลวไฟลามทุ่ง ผู้คนที่เคยศรัทธาต่างพากันสลด บ้างรู้สึกโกรธ บ้างรู้สึกเสียใจ
ฤๅษีถูกนำตัวไปลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง มิใช่เพียงเพราะขโมยทอง แต่เพราะทรยศต่อความไว้ใจที่ผู้คนมีให้ในนามของผู้มีธรรม
ชายมั่งคั่งมองเหตุการณ์เงียบ ๆ ก่อนจะกล่าวกับเพื่อนว่า “ข้าคิดว่าความดีวัดจากคำพูด… แต่มันต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ”
เพื่อนของเขาพยักหน้า “และการไว้ใจ ก็ไม่ควรเกิดจากความเลื่อมใสเพียงภายนอก”
นับแต่นั้นมา ชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนั้นเรียนรู้ว่า แม้เสื้อผ้าและถ้อยคำอาจดูงาม แต่จิตใจคือสิ่งเดียวที่ไม่อาจเสแสร้งได้ตลอดไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความดีที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่คำพูดหรือภาพลักษณ์ที่คนอื่นมองเห็น แต่อยู่ที่การกระทำเมื่อไม่มีใครเฝ้ามอง เพราะความซื่อสัตย์ไม่อาจแกล้งทำได้ตลอดไป และความไว้ใจนั้นมีค่าเกินกว่าจะมอบให้กับใครเพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอก
ฤๅษีผู้แสร้งทำเป็นผู้มีธรรม ใช้ภาพลักษณ์เพื่อหลอกลวงคนใจดี สุดท้ายแม้จะวางแผนแนบเนียนเพียงใด แต่ความจริงก็เผยตัวออกมา และเขาต้องรับผลของการทรยศต่อศรัทธา
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องฤๅษีจอมลวง (อังกฤษ: The Rogue Sage) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ โดยเนื้อเรื่องเล่าถึงชายผู้หนึ่งที่แสร้งทำตนเป็นฤๅษีเพื่อให้ผู้คนศรัทธา ก่อนจะใช้ความน่าเลื่อมใสนั้นในการหลอกลวงผู้อื่น
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งถูกหลอกโดยบุคคลที่แสดงออกว่าเป็นผู้มีศีลธรรม ทั้งที่เบื้องหลังกลับประพฤติผิด ทรงต้องการชี้ให้เห็นว่า ศรัทธาอันบริสุทธิ์ควรตั้งอยู่บนสติปัญญา ไม่ใช่ความหลงเชื่อจากรูปลักษณ์หรือคำพูด
ชาดกเรื่องนี้จึงเตือนใจให้พิจารณาคนจากการกระทำมากกว่าคำพูด และให้ระมัดระวังต่อผู้ที่แสร้งใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน เพราะธรรมะที่แท้จริงไม่อาจอยู่ร่วมกับความหลอกลวงได้
คติธรรม: “ผู้แสร้งเป็นคนดี อาจหลอกตาได้ชั่วคราว แต่ไม่อาจหลอกความจริงได้นาน”