ในโลกที่เต็มไปด้วยคำพูดมากมาย บางครั้งความจริงกลับเงียบที่สุด และในที่ที่อำนาจใหญ่ที่สุด บางครั้งความยุติธรรมก็เล็กจนแทบมองไม่เห็น
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ที่กล่าวถึงคนธรรมดาผู้หนึ่ง ผู้ไม่ใช่กษัตริย์หรือวีรบุรุษ แต่กลับยืนหยัดต่อความไม่ถูกต้องได้อย่างสง่างาม ด้วยเพียงหัวใจที่มั่นในความดีและไม่หวั่นไหวต่อคำยุยงใด ๆ กับนิทานชาดกเรื่องราชมนตรีมนตรีผู้มีความชอบธรรม

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องราชมนตรีผู้มีความชอบธรรม
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในอาณาจักรหนึ่งที่รุ่งเรืองและสงบสุข มีพระราชาผู้ทรงครองราชย์ด้วยอำนาจเด็ดขาด และมีราชมนตรีผู้หนึ่งซึ่งเป็นที่เคารพของประชาชน เขาไม่ได้เพียงมีความรู้ด้านการเมือง แต่ยังเปี่ยมไปด้วยเมตตาและยุติธรรมในการตัดสินใจ
ในวังหลวงยังมีขุนนางอีกผู้หนึ่งซึ่งเป็นนักกฎหมายประจำราชสำนัก เขามีฝีปากกล้าแต่ใช้อำนาจในทางที่ผิด รับสินบนจากคนมีเงิน และตัดสินคดีอย่างลำเอียง ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องทนทุกข์โดยไม่มีทางต่อสู้
วันหนึ่ง ชาวบ้านผู้ถูกใส่ความในคดีใหญ่ ได้ถูกตัดสินให้รับโทษอย่างไม่เป็นธรรมโดยคำตัดสินของนักกฎหมายผู้นั้น เขาเดินทางมายังหน้าบ้านของราชมนตรีด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ท่านโปรดเมตตา… ข้าถูกลงโทษโดยไร้ความผิด”
ราชมนตรีรับฟังทุกถ้อยคำด้วยความสงบ ก่อนจะค้อมหัวเล็กน้อย “นำเอกสารมาให้ข้าดู… ความยุติธรรมจะไม่ถูกปล่อยให้เงียบงัน”
ราชมนตรีศึกษาสำนวนคดีด้วยความละเอียดถี่ถ้วน เมื่อพบพิรุธและความไม่ชอบธรรมในคำตัดสิน เขาจึงตัดสินใจยื่นเรื่องต่อราชสำนัก ขอให้มีการพิจารณาคดีใหม่ และเขาเองก็เป็นผู้ว่าความในศาล
ภายในห้องพิพากษา บรรยากาศเคร่งขรึม ราชมนตรีกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคงและแววตาที่เปล่งประกายความจริง
“กฎหมายมิได้มีไว้เพื่อผู้มีอำนาจ หากแต่เพื่อผู้บริสุทธิ์ที่ไร้เสียง” เขานำพยานหลักฐานออกมาอย่างเป็นระบบ และชี้ให้เห็นช่องโหว่ในการตัดสินคดีเดิม
สุดท้าย ศาลมีคำตัดสินใหม่ ชาวบ้านพ้นผิด และประชาชนทั้งหลายต่างพากันสรรเสริญราชมนตรีว่าเป็นผู้ทรงธรรม ไม่เอนเอียงแม้ต่ออำนาจหรือตำแหน่ง
พระราชาทรงทราบข่าว จึงเรียกตัวราชมนตรีเข้าวัง “เจ้าทำสิ่งที่แม้ศาลยังมิกล้าทำ… จากวันนี้ ข้าจะให้เจ้าเป็นผู้พิพากษาหลวงแห่งราชสำนัก”
เสียงโห่ร้องจากผู้คนข้างวังดังขึ้น พลังแห่งความยุติธรรมเริ่มแผ่ขยาย… แต่ในมุมหนึ่งของวัง ขุนนางนักกฎหมายผู้เคยมีอำนาจ กลับกำหมัดแน่นด้วยความอิจฉา

จากวันที่ราชมนตรีได้รับตำแหน่งผู้พิพากษา ความนับถือจากประชาชนก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เพียงแต่ในเมืองหลวง แม้แต่ชาวบ้านจากแคว้นไกลก็ยังกล่าวถึงชื่อของเขาด้วยความชื่นชม
ขุนนางนักกฎหมายผู้เคยมีอำนาจกลับถูกลดบทบาทลง ความริษยาก่อตัวขึ้นในใจราวไฟใต้เถ้า เขาเริ่มกระซิบคำยุแยงใกล้พระกรรณของพระราชา “พะยะค่ะ ผู้คนล้วนกล่าวถึงแต่ชื่อของผู้พิพากษา แม้พระนามของพระองค์ยังถูกพูดถึงน้อยกว่าเขาเสียอีก…”
พระราชาผู้เคยไว้วางใจก็เริ่มเกิดความระแวง และในใจเริ่มมีคำถามว่า “หรืออำนาจของเราจะถูกลดค่าลงเพราะเงาของผู้พิพากษาราชมนตรี?”
ด้วยความไม่มั่นใจ พระราชาจึงคิดทดสอบความจงรักภักดีของผู้พิพากษา ทรงออกคำสั่งให้เขาทำภารกิจต่าง ๆ ที่ยากเกินมนุษย์ปกติ
ทั้งการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างเผ่าศัตรู การสืบหาความจริงในคดีซ้อนซ่อนเงื่อน และแม้แต่ให้เดินทางข้ามทะเลทรายเพื่อส่งราชสาส์นลับ
ผู้พิพากษาไม่ได้ปฏิเสธแม้แต่ภารกิจเดียว เขารับฟังด้วยความสงบและกระทำด้วยใจมั่นคง แต่ทุกครั้งที่เขากำลังจะหมดแรงหรือเผชิญอุปสรรค ท่านก็มักภาวนาในใจ ขอให้ธรรมะและความดีเป็นแสงนำทาง
อย่างน่าอัศจรรย์ ทุกภารกิจที่ยากลำบากล้วนผ่านไปได้ด้วยสติและความศรัทธา ประชาชนยิ่งเคารพในความตั้งใจจริงของเขา ส่วนพระราชาเองเริ่มเห็นความจริงในใจของตน
วันหนึ่ง พระราชาตรัสกับนักกฎหมายผู้นั้น “ข้าสงสัยในผู้อื่น ทั้งที่สิ่งที่ควรสงสัยที่สุดคือใจของตัวเอง”
เมื่อความจริงเปิดเผย พระราชาทรงรู้ว่านักกฎหมายผู้นั้นพูดด้วยเจตนาอันริษยา จึงมีพระราชโองการเนรเทศเขาออกจากอาณาจักร และให้ราชมนตรีผู้ซื่อสัตย์ดำรงตำแหน่งอย่างมั่นคงต่อไป
ในที่สุด ความยุติธรรมก็ได้รับการปกป้อง มิใช่ด้วยดาบหรืออำนาจ แต่ด้วยความตั้งมั่นในธรรมของผู้กล้าที่ไม่หวั่นไหวต่อแรงริษยาใด ๆ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความยุติธรรมที่แท้จริง ไม่ได้อาศัยเสียงปรบมือหรือคำชื่นชมจากผู้คน แต่อาศัยความมั่นคงในใจ ที่กล้ายืนหยัดแม้ถูกทดสอบจากความอิจฉาและอำนาจ
ราชมนตรีผู้ซื่อสัตย์ไม่ได้ตอบโต้ความริษยาด้วยการเอาคืน แต่ใช้ความถูกต้อง ความอดทน และความศรัทธาในความดี จนสามารถเปิดเผยความจริงให้ปรากฏได้ในที่สุด และพิสูจน์ว่า ความยิ่งใหญ่ของคนหนึ่งคน ไม่ได้วัดจากตำแหน่ง แต่จากสิ่งที่เขาไม่ยอมละทิ้งแม้ในวันที่ถูกกดดันที่สุด
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องราชมนตรีผู้มีความชอบธรรม (อังกฤษ: The Righteous Minister) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก คือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ โดยในเรื่องนี้ พระองค์ทรงเสวยชาติเป็นราชมนตรีผู้ยึดมั่นในความยุติธรรมและคุณธรรม แม้จะถูกอิจฉาและทดสอบจากผู้มีอำนาจเหนือกว่า
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งถูกใส่ร้ายจากผู้ที่ริษยาในความดีของตน และเริ่มเกิดความลังเลว่าจะยังควรยืนหยัดในธรรมอยู่หรือไม่
พระองค์จึงตรัสเล่าชาดกเรื่องนี้เพื่อเตือนใจว่า แม้โลกจะเต็มไปด้วยผู้ริษยา แต่หากเรายึดมั่นในธรรมะ และทำหน้าที่ของตนด้วยความสุจริตใจ ความจริงจะค่อยๆ เปิดเผย และความดีจะได้รับการยอมรับในที่สุด
ชาดกเรื่องนี้จึงเน้นให้เห็นว่า ความดีแท้ต้องกล้าผ่านบททดสอบ และความยุติธรรมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเมตตาและปัญญา จะเป็นสิ่งที่ยั่งยืนเหนือคำยุยงใด ๆ
คติธรรม: “ผู้ยึดมั่นในธรรม ย่อมไม่หวั่นไหวต่อแรงริษยา แม้ถูกทดสอบด้วยอำนาจ ก็ยิ่งเปล่งประกายด้วยคุณธรรม”