ปกนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการระงับกิเลส

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการระงับกิเลส

ในโลกนี้ มนุษย์มักหลงใหลในสิ่งสวยงาม แปลกใหม่ หรือความหรูหราที่เห็นด้วยตาและได้ยินด้วยหู แต่ความปรารถนาเหล่านี้กลับพรากความสงบจากจิตใจและทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนไป

มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง เล่าจื๊อได้เรียนรู้จากพระเซนชรารูปหนึ่งบนภูเขาเกี่ยวกับการระงับกิเลส ผ่านเหตุการณ์ในตลาด งานรื่นเริง และการใช้ชีวิตอย่างพอดี โดยแสดงให้เห็นว่าผู้รู้จักพอเพียงจะสงบและดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการระงับกิเลส

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการระงับกิเลส

ข้าเคยเดินทางผ่านหุบเขาลึกสายหนึ่ง ณ ดินแดนห่างไกล ความสงัดปกคลุมทั่วพงไพร เสียงลมพัดแผ่วผ่านกิ่งไม้ประดุจบทเพลงแห่งฟ้า วันนั้น ข้าได้พบวัดเล็ก ๆ ตั้งอยู่บนไหล่เขา ประตูไม้เก่าคร่ำคร่าก็ยังตั้งมั่นอยู่

วันนี้ก็ค่ำมากแล้ว ข้าคงต้องพักที่วัดเล็ก ๆ แห่งนี้ คืนนี้

เมื่อก้าวเข้าสู่ลานวัด ข้าเห็นพระชรารูปหนึ่งนั่งนิ่งอยู่ใต้ต้นสนใหญ่ ดวงตาของท่านปิดลงเหมือนมิได้เฝ้ามองสิ่งใด แต่ใบหน้ากลับสงบเสมือนสายน้ำ ข้าค้อมกายทำความเคารพ

พระชราลืมตาขึ้น ยิ้มอ่อน ๆ พลันถามว่า “ท่านเดินทางไกลมา เหตุใดสีหน้าจึงเศร้าหมอง?”

ข้าเอ่ยตอบตามความจริงว่า “ระหว่างทาง ข้าได้เห็นงานรื่นเริงในหมู่บ้าน ผู้คนพากันหลงใหลเสียงดนตรีดังจนหูดับ ความบันเทิงพรากสติไป จนข้าสงสัยว่า เหตุใดสิ่งเหล่านี้จึงมีแรงดึงดูดจนยากจะต้านทาน”

พระชราส่ายศีรษะช้า ๆ “ดนตรีห้าสำเนียงอาจทำให้หูมืดบอดต่อความเงียบ ความงามห้าสีอาจทำให้ตามืดบอดต่อความว่าง คนผู้หลงในสิ่งนั้น จะยิ่งไกลจากความสงบที่แท้จริง”

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการระงับกิเลส

ข้าเงียบไปครู่หนึ่ง ใจยังคงผูกพันกับความงามอันพร่างพรายที่เห็นมา แต่ในดวงตาของพระชรา มีเพียงความสงบอันไม่หวั่นไหว

รุ่งอรุณวันถัดมา พระชราพาข้าเดินไปยังลานกว้างใกล้หมู่บ้าน รอบกายมีผู้คนกำลังแข่งขันรถม้า บ้างก็ออกล่าสัตว์ เสียงโห่ร้องสนั่นหวั่นไหว ผู้ชมตื่นเต้นดวงตาเบิกกว้าง

พระชรามิได้มองด้วยความเพลิดเพลิน แต่หันมาพูดกับข้าว่า “ท่านเห็นหรือไม่ รถม้าที่แล่นเร็วปราดเปรียวทำให้ใจคนกระเจิดกระเจิง การล่าสัตว์ทำให้เลือดไหลท่วมดิน แต่ผู้คนกลับโห่ร้องยินดี เหล่านี้คือความอยากที่เร้าใจ แต่ทำให้ใจคลุ้มคลั่ง”

ข้าฟังแล้วใจสะท้าน เพราะภาพตรงหน้าเต็มไปด้วยความเร่งเร้า ยากนักที่จิตจะอยู่นิ่ง ทว่า พระชรากล่าวต่อด้วยเสียงแผ่วเบา “ผู้รู้จักพอ ย่อมไม่ตามใจหู ตา หรือใจที่แสวงหาสิ่งเร้า เขาจะสนองเพียงสิ่งที่ท้องต้องการคืออาหาร และวางสิ่งอื่นเสีย ความอิ่มจริงอยู่ตรงนี้ หาใช่สิ่งเร้าที่ดวงตาหรือหูเรียกร้อง”

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการระงับกิเลส 2

คำพูดนั้นดุจค้อนหนักทุบลงกลางใจ ข้าจึงเริ่มเข้าใจว่าความอยาก นั้นมิได้ทำให้เราอิ่ม แต่กลับทำให้ใจเราหิวไม่สิ้นสุด

หลายวันผ่านไป ข้ายังอยู่ที่วัดบนเขา เพื่อเรียนรู้ถ้อยธรรมจากพระชรา วันหนึ่ง ท่านชี้ให้ข้าเดินไปตามตลาดเล็กที่เชิงเขา

ณ ที่นั้น ข้าเห็นพ่อค้าเปิดหีบใส่ของแปลกหรูหรา เครื่องประดับแพรวพราว มีคนมากมายเบียดเสียดเข้ามา บางคนยอมขายวัวควาย บางคนกู้ยืมเงิน เพียงเพื่อจะได้สิ่งนั้นไปครอบครอง ตาเขาเต็มไปด้วยไฟปรารถนา ราวกับไม่รู้จักพอ

พระชรายืนมอง แล้วกล่าวเสียงเรียบ “ของล้ำค่าและหายาก หาได้ทำให้ใจอิ่ม แต่กลับเปลี่ยนพฤติกรรมคนให้เอนเอียงไปสู่ทางผิด”

ข้าจ้องภาพตรงหน้า ใจรู้สึกเจ็บปวด เห็นผู้คนแย่งชิงและโกหกเพียงเพื่อสิ่งที่วันหนึ่งก็ผุพัง ท่านหันมามองข้าแล้วกล่าวต่อว่า “ดวงตาที่หิวหาของแปลก ดวงหูที่หิวหาความเพลิดเพลิน ยิ่งเลี้ยงยิ่งหิวไม่มีสิ้นสุด แต่ท้องนั้น หากได้รับพอดี ก็พอจะสงบได้”

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการระงับกิเลส 3

ค่ำวันหนึ่ง ข้านั่งสนทนากับพระชราที่ลานวัด แสงอาทิตย์ตกดินคล้ายผืนทองสาดลงตามแนวเขา พระชราเอื้อมมือเก็บถ้วยข้าวต้มเรียบง่าย แล้วยื่นให้ข้า “ลองชิมดู”

ข้ากินเพียงไม่กี่คำ ความอิ่มก็แผ่วซ่านในกาย แม้รสไม่หรูหรา แต่มันกลับทำให้ใจสงบเย็น

พระชรายิ้มอ่อน เอ่ยเบา ๆ “การรู้จักพอเพียงกับสิ่งที่เลี้ยงกาย คือหนทางแห่งความสงบ ส่วนการตามกิเลสของตา หู และใจ ย่อมนำไปสู่ความฟุ้งซ่านไม่สิ้นสุด”

ในยามนั้น ข้ามองดวงตะวันคล้อยลับไปหลังเขา จิตใจว่างและสงบ ราวกับเข้าใจความหมายแห่งคำว่า “การระงับกิเลส” อย่างแท้จริง

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการระงับกิเลส 4

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การตามใจความอยากของตา หู หรือใจ ไม่เพียงทำให้จิตใจฟุ้งซ่านเท่านั้น แต่ยังชักพาให้มนุษย์ลุ่มหลงในสิ่งเร้าที่แปลกใหม่และหรูหราเกินจำเป็น เห็นคุณค่าของสิ่งภายนอกมากเกินไป จนลืมพิจารณาสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตจริง และทำให้พฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากหนทางธรรมชาติ

ขณะที่เล่าจื๊อเดินทาง เขาเห็นผู้คนหลงใหลในเสียงดนตรี ห้าสีสัน และสิ่งของแปลกหรูในตลาด จิตใจของพวกเขาว้าวุ่นและแย่งชิงกันเพื่อสิ่งเหล่านี้ พระชราผู้เฒ่าชี้ให้เห็นว่าแท้จริงแล้วความสุขอยู่ที่ความพอเพียง การกินข้าวต้มเรียบง่าย การได้พักผ่อนและทำสิ่งจำเป็นต่อชีวิต การไม่ตามใจสิ่งเร้าที่เกินจำเป็น ทำให้ใจสงบและรู้จักพอ พอใจต่อสิ่งที่จำเป็น คือหนทางที่จะไม่หลงไปตามกิเลสและดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายและสมดุล

อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสรุปจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงเล่าในรูปแบบนิทานสนุกและเข้าใจง่ายได้ข้อคิดดี ๆ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการระงับกิเลส (อังกฤษ: The Repression of The Desires) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิง บทที่ 12 ซึ่งเล่าถึงผลของความอยากและความปรารถนาในชีวิตมนุษย์ บทนี้ชี้ให้เห็นว่า ความฟุ้งซ่านและพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนเกิดจากการตามใจตา หู หรือใจไปยังสิ่งสวยงาม แปลกใหม่ หรือหรูหราโดยไม่หยุด การหลงใหลในเสียงดนตรี ห้าสีสัน หรือสิ่งของล้ำค่า ทำให้จิตใจว้าวุ่นและลุ่มหลง ผู้รู้จักพอเพียงจึงเลือกที่จะสนองเพียงสิ่งจำเป็นต่อชีวิต เช่น อาหารและความพอดี ขณะเดียวกันละเว้นสิ่งเร้าที่เกินจำเป็น เพื่อให้จิตใจสงบและดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายและสมดุล โดยเล่าจื๊อได้เขียนไว้ว่า:

การระงับกิเลส

สีสันทั้งห้าจากตา ทำให้การเห็นพร่ามัว
โน้ตดนตรีห้าสำเนียง ทำให้หูแทบพิการ
รสชาติทั้งห้าทำให้ปากพร่องรส
การวิ่งรถรอบสนาม และการล่าสัตว์อันดุร้าย ทำให้ใจคลุ้มคลั่ง
และสิ่งของแปลกหรูที่แสวงหา ทำให้พฤติกรรมของมนุษย์เบี่ยงเบนไปสู่ความชั่ว
ดังนั้น ผู้ชาญฉลาดจะพึงสนองเพียงความต้องการของท้อง
มิใช่ความอยากไม่สิ้นสุดของดวงตา
เขาจะละความอยากนั้นเสีย
และเลือกแสวงหาสิ่งจำเป็นต่อชีวิตแทน

เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่าผู้ที่เข้าใจแก่นของบทนี้ จะสามารถมองสิ่งรอบตัวอย่างชัดเจน เห็นความแตกต่างระหว่างสิ่งจำเป็นกับสิ่งเร้า รู้จักละเว้นความฟุ้งซ่าน และพบหนทางแห่งความสงบโดยไม่ฝืนธรรมชาติ ความพอเพียงนี้เองคือแก่นแท้ของการระงับกิเลส และเป็นวิถีที่จะนำไปสู่ชีวิตที่เรียบง่ายและสงบสุข

นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนของเต๋า แสดงให้เห็นว่า การระงับความอยากและละเว้นสิ่งเร้าที่ฟุ้งซ่าน การพอใจต่อสิ่งที่จำเป็นและปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามธรรมชาติ คือหนทางที่จะเข้าถึงความสงบ ความสมดุล และความเรียบง่ายในชีวิตอย่างแท้จริง

คติธรรม: “ผู้รู้จักพอเพียง ไม่ตามใจตาและหู จะสงบในใจและดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายและสมดุล”