บางครั้ง เราอาจช่วยใครบางคนไว้ในวันที่เขาไม่มีอะไร แต่เมื่อเขามีทุกอย่างแล้ว เขากลับลืมว่าใครเคยยื่นมือให้ในยามมืดมน
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ที่กล่าวถึงความทรงจำของผู้มีคุณธรรม และความหลงลืมของผู้หลงในอำนาจ เรื่องราวของความกตัญญูที่ไม่ขึ้นอยู่กับฐานะ แต่ขึ้นอยู่กับใจที่ไม่ลืมสิ่งที่ควรจำ กับนิทานชาดกเรื่องหนู นกแก้ว งู และฤๅษี

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องหนู นกแก้ว งู และฤๅษี
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดินแดนหิมาลัย กลางพายุใหญ่ที่พัดกระหน่ำป่าไม้และแม่น้ำอย่างบ้าคลั่ง ทุกสิ่งทุกอย่างลอยละลิ่วไปตามกระแสน้ำ
หนึ่งในนั้นคือเจ้าชายผู้เย่อหยิ่งผู้หลงทางออกมาจากวัง ด้วยความมั่นใจเกินตัว เขาไม่เชื่อคำเตือนเรื่องพายุ จึงต้องติดอยู่ในธรรมชาติที่ไร้เมตตา
ไม่ไกลจากเขา มีสัตว์สามตัวที่ประสบเคราะห์กรรมเช่นเดียวกันหนูตัวเล็ก นกแก้วสีเขียวสด และงูร่างยาวลื่น ต่างพยายามเกาะเศษท่อนไม้ลอยกลางน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด ไม่มีใครพูด ไม่มีใครเลือกใคร ทุกชีวิตต่างลอยไปด้วยกันบนท่อนไม้เพียงชิ้นเดียว
ในเช้าวันต่อมา พายุสงบลง และท้องฟ้ากลับมาสว่างอีกครั้ง ฤๅษีชราผู้พำนักอยู่ใกล้เชิงเขาออกมาเดินริมลำธาร แล้วบังเอิญพบท่อนไม้ลอยมาติดฝั่ง พร้อมทั้งมนุษย์และสัตว์นอนแน่นิ่งอยู่
ท่านฤๅษีรีบเข้าช่วยโดยไม่ลังเล เริ่มจากอุ้มหนูขึ้นมาจากน้ำ ห่อไว้ด้วยผ้าแห้ง ต่อมาจึงประคองนกแก้วที่ขนเปียกปอน และงูที่ร่างกายหนาวสั่น มาวางไว้ข้างกองไฟอย่างอ่อนโยน
หลังจากนั้น ท่านจึงเดินไปหาชายหนุ่มผู้สวมอาภรณ์หรูหรา ซึ่งค่อย ๆ ลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก “เหตุใดข้าจึงถูกช่วยเป็นคนสุดท้าย?” เขาพึมพำเบาๆ สีหน้าบึ้งตึง
ฤๅษีไม่ได้ตอบอะไร นอกจากมองเขานิ่งๆ ด้วยแววตาสงบ
หลังจากพักฟื้นอยู่ในกระท่อมของฤๅษีไม่นาน ทั้งสี่ชีวิตก็เริ่มกลับมามีแรง หนูวิ่งเล่นอยู่ในหญ้า นกแก้วเกาะบนกิ่งไม้ส่งเสียงใส ๆ และงูก็เลื้อยอย่างช้าๆ ใกล้แหล่งน้ำเพื่ออาบแสงแดดอุ่นๆ
ก่อนแยกย้ายจากกัน พวกสัตว์แต่ละตัวต่างหันมากล่าวขอบคุณท่านฤๅษีด้วยความจริงใจ “หากวันใดท่านลำบาก หิว หรือขัดสน จงมาหาเรา เราจะตอบแทนด้วยสุดใจ” นกแก้วกล่าวพลางกางปีกเล็กๆ อย่างภาคภูมิ
“ข้าเองก็มีเส้นทางลับที่พาไปยังห้องเก็บเสบียงของมนุษย์… มีของมีค่าไม่น้อย” หนูพูดพลางยิ้มอย่างจริงใจ
งูกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “ข้าอาศัยอยู่ในถ้ำที่คนไม่กล้าเข้าไป… แต่ที่นั่นมีสมบัติเก่าอยู่มาก หากท่านต้องการ ข้าจะนำออกมาให้”
เมื่อถึงคราวเจ้าชาย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสูงส่ง “เมื่อข้าขึ้นเป็นกษัตริย์ วันใดท่านไปหา ข้าจะให้ทรัพย์สมบัติมหาศาลเกินจะนับได้”
ฤๅษีพยักหน้าเบาๆ มิได้เอ่ยคำใด ทั้งสี่จากไปในทิศทางของตน ทิ้งไว้เพียงความเงียบสงบของป่าเขา… และความเงียบงันในใจของฤๅษี ที่ยังไม่ลืมแววตาของแต่ละชีวิตในยามลำบาก

หลายปีผ่านไป โลกเปลี่ยน ผืนป่าเปลี่ยน และผู้คนก็เปลี่ยน ฤๅษียังคงอยู่ในกระท่อมหลังเดิม แต่ใจของท่านกลับเต็มไปด้วยความสงสัย
“ถึงเวลาทดสอบคำพูดของวันนั้นเสียที” ฤๅษีพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะสะพายย่ามใบเก่าก้าวเท้าออกเดินทาง
ท่านไปหาเพื่อนตัวแรกคือหนู และเมื่อบอกเหตุผลในการมาเยือน หนูก็พาท่านมุดเข้าโพรงดินลึก เข้าไปยังช่องลับใต้ยุ้งข้าวของคฤหาสน์ใหญ่ ที่เต็มไปด้วยเหรียญทอง อาหาร และเครื่องใช้มากมาย
จากนั้น ท่านไปหานกแก้ว ซึ่งบินพาไปยังสวนผลไม้ของพ่อค้าใหญ่แห่งเมือง นกแก้วแอบหย่อนกุญแจให้ฤๅษีเข้าไปในห้องเก็บสมบัติ ที่เต็มไปด้วยถุงผ้าใบใหญ่ใส่อัญมณีมากมาย
งูเองก็ไม่ผิดคำพูด มันเลื้อยนำฤๅษีไปยังถ้ำเก่าในหุบเขาอันตราย ที่มนุษย์ไม่กล้าย่างกราย ภายในนั้นมีหีบไม้โบราณบรรจุเครื่องเงินและของล้ำค่าอีกจำนวนหนึ่ง
ฤๅษียิ้มอย่างเงียบ ๆ ไม่ใช่เพราะสมบัติ… แต่เพราะความจริงใจของสหายที่ไม่เคยลืมคำพูดในวันที่ไม่มีใครมีอะไรเลย
สุดท้าย ฤๅษีเดินทางไปยังราชวังใหญ่ ซึ่งขณะนี้เจ้าชายผู้รอดชีวิตได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์เต็มตัว ท่านเข้าไปยังพระราชฐานและขอเข้าเฝ้า
เมื่อกษัตริย์ทรงเห็นฤๅษี ก็จำได้ทันที แต่สีพระพักตร์กลับเปลี่ยนเป็นเย็นชา “เหตุใดเจ้าจึงมา?”
ฤๅษีกล่าวเรียบๆ “ข้าเพียงอยากทบทวนคำสัญญา ที่เจ้ากล่าวไว้เมื่อวันหนึ่งที่เจ้าไม่มีสิ่งใดเลย”
กษัตริย์หัวเราะเบาๆ “เจ้าคิดหรือว่าคำพูดของคนจนในป่า จะมีความหมายกับกษัตริย์?” แล้วทรงสั่งเหล่าทหาร “นำตัวมันออกไป แล้วอย่าให้กลับมาอีก”
แต่ก่อนที่ทหารจะพาตัวฤๅษีไป ชาวเมืองที่ได้ยินเรื่องราวของท่านกลับพากันลุกขึ้น พวกเขารู้ว่า ใครควรครองบัลลังก์และใครเพียงอาศัยอำนาจโดยไม่รู้คุณ
ชาวเมืองขับไล่กษัตริย์ผู้ทรยศ และเชิญฤๅษีขึ้นนั่งบัลลังก์แทน ท่านปฏิเสธอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ยอมรับ เพื่อดูแลบ้านเมืองด้วยความยุติธรรม
เมื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ ฤๅษีไม่ลืมสหายเก่า ท่านให้หนู นกแก้ว และงู อาศัยอยู่ในวังอย่างอิสระ พร้อมอาหารและที่พักอย่างดี เพราะท่านรู้ว่า ความภักดีของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เหล่านี้ มีค่ามากกว่าสมบัติใดๆ บนแผ่นดิน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… คำพูดของผู้มีคุณธรรมมีคุณค่า แม้ผู้ฟังจะต่างกัน แต่ผู้ที่จริงใจย่อมรักษาคำมั่นด้วยความกตัญญู ส่วนผู้ที่หลงในอำนาจมักลืมคุณผู้อื่น และสุดท้ายก็มักพ่ายแพ้ด้วยความหลงของตนเอง
สัตว์ทั้งสามตัว แม้ไร้อำนาจ แต่กลับซื่อสัตย์ต่อคำพูดอย่างแท้จริง ในขณะที่มนุษย์ผู้สูงศักดิ์กลับลืมคุณเมื่อได้อำนาจมาอยู่ในมือ สะท้อนให้เห็นว่า ความซื่อสัตย์และกตัญญูไม่ได้ขึ้นอยู่กับฐานะ แต่ขึ้นอยู่กับใจที่รู้คุณและไม่ลืมสิ่งดีที่เคยได้รับ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องหนู นกแก้ว งู และฤๅษี (อังกฤษ: The Rat, the Parrot, the Snake and the Sage) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ โดยในชาตินั้น พระองค์เสวยชาติเป็นฤๅษีผู้มีเมตตาและรู้เท่าทันธรรม
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งเกิดความน้อยใจ หลังช่วยเหลือผู้อื่นแต่กลับถูกลบหลู่และทรยศ พระองค์จึงยกเรื่องราวนี้ขึ้นเพื่อเตือนใจให้เห็นว่า แม้ในอดีตกาล พระองค์เองในฐานะฤๅษีก็เคยประสบกับเหตุการณ์ที่มีทั้งผู้รู้คุณและผู้ลืมคุณ
ในเรื่องนี้ สัตว์สามชนิด ได้แก่ หนู นกแก้ว และงู เป็นตัวแทนของผู้ที่รู้จักตอบแทนบุญคุณ แม้จะไม่มีอำนาจหรือฐานะ ในขณะที่เจ้าชายผู้เคยได้รับความช่วยเหลือกลับลืมความดีของผู้อื่น เมื่อได้อำนาจมาอยู่ในมือ
ชาดกเรื่องนี้จึงสอนให้เห็นถึงคุณค่าของความกตัญญู ความซื่อสัตย์ต่อคำพูด และเตือนใจเราว่า ผู้ที่รู้คุณและรักษาความดีแม้ในยามเปลี่ยนสถานะ ย่อมเป็นผู้ควรยกย่องเหนือกว่าผู้มีอำนาจแต่ไร้ใจ
คติธรรม: “คนรู้คุณ ไม่ต้องมีอำนาจก็สูงส่ง แต่คนลืมคุณ ต่อให้ครองบัลลังก์ ก็ต่ำต้อยในใจผู้คน”