ในโลกนี้ ผู้คนมักเชื่อว่าการตอบโต้ความชั่วด้วยความแข็งกร้าวจะทำให้ตนมั่นคง แต่คำสอนของเต๋ากลับชี้ว่า การวางใจเป็นกลางและโอบอ้อมอารีต่อทุกชีวิต คือหนทางที่ลึกซึ้งและยั่งยืนของจิตใจ
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊อสะท้อนถึงคุณสมบัติแห่งความโอบอ้อมอารีและความจริงใจต่อผู้คนรอบตัว ผ่านเรื่องราวของชายหนุ่มและผู้เฒ่าผู้สงบ ซึ่งเปิดเผยความงดงามของใจโดยไม่บังคับหรือชี้นำผู้อื่น กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณสมบัติแห่งความโอบอ้อมอารี

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณสมบัติแห่งความโอบอ้อมอารี
ค่ำคืนหนึ่ง ลมเย็นพัดผ่านภูเขา เงาไม้โยกไหวสะท้อนกับแสงเพลิง กองไฟลุกโชนกลางลานดิน ศิษย์ทั้งหลายมานั่งล้อมรอบ ข้าผู้เฒ่า เงียบสงบ เสียงจิ้งหรีดดังประสานกับเสียงแตกดังเปรี๊ยะ ๆ ของฟืน
ศิษย์คนหนึ่งยกมือขึ้นถามด้วยความลังเล “อาจารย์ ข้าสงสัยอยู่เนิ่นนาน เหตุใดท่านจึงปฏิบัติดีกับทุกคนเสมอ ไม่ว่าคนนั้นจะนอบน้อมหรือหยาบช้า?”
ข้าหันสายตาไปมองเปลวไฟที่เต้นรำ พลางยิ้มบาง ๆ แล้วตอบเบา ๆ “เจ้าต้องการฟังเรื่องหนึ่งหรือไม่… เรื่องที่ครั้งหนึ่งข้าได้พบชายหนุ่มผู้หยาบคาย”
ศิษย์พยักหน้าอย่างตื่นเต้น กองไฟสะท้อนแววตาของพวกเขาเป็นประกาย ข้าจึงเริ่มเล่าด้วยเสียงช้าและหนักแน่น
“ครั้งนั้น ข้าเดินทางผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ หมู่บ้านนั้นเต็มไปด้วยคนแปลกหน้า และที่นั่นเอง ข้าได้พบชายผู้หนึ่ง เขามีสายตาแข็งกร้าว และวาจาเต็มไปด้วยพิษ… ข้ารู้ตั้งแต่แรกว่าเขาไม่มาเพื่อมิตรภาพ”
เสียงรอบกองไฟเงียบสนิท ทุกคนก้มหน้าฟังราวกับจะไม่ให้แม้แต่ลมพัดคำเล็ดลอด
“ชายหนุ่มคนนั้นจ้องข้าแล้วหัวเราะเยาะ” ข้าพูดพลางมองเปลวไฟ “เขาพูดว่า ‘เจ้าชราผู้แปลกหน้า หากเจ้าเป็นปราชญ์จริง ก็บอกสิว่าข้าจะได้ประโยชน์อะไรจากเจ้า’”
ทว่าดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังเสียงหัวเราะกลับแฝงเงาเศร้า ราวกับมีบาดแผลลึกในใจ ข้ารู้ทันทีว่า ความหยาบคายนั้นเป็นเพียงเกราะที่เขาสวมไว้เพื่อปกป้องตนเอง
ข้ายิ้ม ไม่ตอบคำถามตรง ๆ แต่กลับเชื้อเชิญเขามานั่งใต้ร่มไม้ ข้าต้มน้ำร้อนในหม้อดินใบเล็กแล้วรินชาใส่ถ้วยดินเผา ยื่นให้เขาด้วยมือนิ่งสงบ
เขากลับหัวเราะเสียงดัง “เจ้าจะเลี้ยงชาด้วยความหวังว่า ข้าจะเคารพเจ้างั้นหรือ? ฮ่า ๆ ๆ” เขากระแทกถ้วยกับพื้นจนแตก น้ำชากระเซ็นไหลบนดิน
ศิษย์บางคนที่นั่งรอบกองไฟขมวดคิ้ว “ท่านอาจารย์! แล้วท่านไม่โกรธหรือ?”
ข้าส่ายศีรษะเบา ๆ “ข้าเพียงเก็บเศษถ้วยขึ้นมา และกวาดพื้นให้สะอาด ข้ามองเขาด้วยรอยยิ้ม แล้วรินชาถ้วยใหม่ส่งไปอีกครั้ง”
ศิษย์ทั้งหลายมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ เหตุใดอาจารย์จึงไม่ปฏิเสธ ไม่ขับไล่ ไม่แม้แต่จะกล่าวโทษ
“ชายคนนั้นเบือนหน้าหนี แต่สายตาของเขาสั่นไหว เขาไม่อาจเข้าใจว่าทำไมข้าไม่โกรธ ไม่โต้เถียง และไม่กล่าววาจาแข็งกร้าวตอบ” ข้าพูดช้า ๆ ราวกับปล่อยให้เปลวไฟเลียกินกาลเวลา

คืนถัดมา ชายหนุ่มคนนั้นกลับมาหาข้า คราวนี้เขาไม่ส่งเสียงหัวเราะ ไม่ยกคางเย่อหยิ่งเช่นเคย เขายืนเงียบอยู่ใต้เงาไม้ แววตาเต็มไปด้วยความลังเล
“ท่าน… ข้า…” เสียงเขาสั่นพร่า น้ำตาเริ่มเอ่อคลอ “ข้าได้ทำสิ่งไม่ควรกับท่าน ข้าดูถูกท่านทั้งที่ท่านยังคงต้อนรับข้า… เหตุใดท่านไม่โกรธ ไม่ผลักไสข้าออกไป?”
ข้ามองเขาเนิ่นนานก่อนตอบเบา ๆ “เพราะความโกรธของข้า ไม่ได้มีประโยชน์กับเจ้าเลย แต่ความสงบของข้า อาจหล่อเลี้ยงใจเจ้าได้บ้าง”
เมื่อชายหนุ่มกลับมาอีกครั้ง เสียงเขาสั่นพร่า น้ำตาไหลริน เขายืนนิ่งอยู่ใต้เงาไม้ มือสั่นพร่าคล้ายคนไร้ที่พึ่ง ข้าสังเกตเห็นแววตาของเขา สายตาที่เคยแข็งกร้าวและดูถูก กลับสั่นไหว ราวกับซ่อนความเจ็บปวดลึก ๆ ไว้
“เขาปกป้องตัวเองด้วยเกราะของความหยาบคาย” ข้าคิดในใจ แต่ไม่ได้เอ่ยวาจาใด ๆ เพียงนั่งอยู่เงียบ ๆ
เขาทรุดตัวลงคุกเข่า มือสั่นไหวอย่างคนไร้ที่พึ่ง น้ำตาไหลหยดลงบนดินชุ่ม ชั่วขณะนั้นเอง ความแข็งกระด้างที่เคยปกคลุมหัวใจของเขาเหมือนละลายหายไปในเงื้อมมือของความอ่อนโยน
ศิษย์รอบกองไฟถอนหายใจเบา ๆ บางคนยกชายแขนเช็ดน้ำตาตนเองโดยไม่รู้ตัว
ข้าหันกลับมามองศิษย์ ริมฝีปากยังคงมีรอยยิ้มสงบ “เจ้าเห็นหรือไม่… ต่อผู้ที่ดีกับข้า ข้าก็ดีด้วย ต่อผู้ที่ไม่ดีกับข้า ข้าก็ดีด้วยเช่นกัน ต่อผู้ที่จริงใจ ข้าย่อมจริงใจด้วย ต่อผู้ที่ไม่จริงใจ ข้าก็ยังจริงใจด้วย… เพราะความดีนั้นมิใช่ของเขา มิใช่ของข้า แต่เป็นของฟ้า”
ข้าวางฟืนลงไปอีกท่อน เปลวไฟลุกโชติช่วงส่องใบหน้าศิษย์ทุกคน พวกเขานิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะก้มศีรษะลงพร้อมกัน ราวกับหัวใจได้เข้าใจสิ่งที่ถ้อยคำไม่อาจบรรยาย
“จำไว้นะ” ข้าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ความโอบอ้อมอารีที่ไม่เลือกหน้า คือพลังที่เปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตร และเปลี่ยนความไม่จริงใจให้กลายเป็นความจริงใจ”
เพลิงกองไฟยังคงลุกโชน ทว่าในใจของศิษย์ทั้งหลายกลับสว่างไสวยิ่งกว่าเปลวไฟใด ๆ ในราตรีนั้น

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความโอบอ้อมอารีที่ไม่เลือกหน้า และความจริงใจที่ไม่แบ่งแยกผู้คน เป็นพลังที่สามารถเปลี่ยนความร้ายกลายเป็นความดี และเปลี่ยนความหยาบคายให้กลายเป็นความจริงใจได้
ในนิทาน เล่าจื๊อพบชายหนุ่มผู้หยาบคายและปิดบาดแผลในใจด้วยความแข็งกระด้าง เราเห็นว่าแม้คนที่ดูร้ายกาจหรือหลอกลวง หากได้รับการตอบสนองด้วยความสงบและอ่อนโยนอย่างไม่ตัดสินใจเขา ก็สามารถค่อย ๆ เปิดใจและเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ การปฏิบัติด้วยความดีไม่จำเป็นต้องสอนหรือบังคับ แต่เป็นการแสดงออกของความเมตตาและความจริงใจที่ทำให้ผู้อื่นรับรู้และเรียนรู้ด้วยตนเอง ทั้งยังสะท้อนให้เห็นว่า ความอ่อนโยนที่แท้จริงนั้นไม่ได้อ่อนแอ แต่เป็นพลังที่แข็งแกร่งและยั่งยืนกว่าเจตนาร้ายแรงหรือความโกรธ
อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงแฝงข้อคิดดี ๆ และปรัชญาชีวิตสุดลึกซึ้งในวิถีเต๋าจากเล่าจื๊อ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณสมบัติแห่งความโอบอ้อมอารี (อังกฤษ: The Quality of Indulgence) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 49 ซึ่งกล่าวถึงคุณสมบัติแห่งการโอบอ้อมอารีและความไม่ยึดติดในความดีหรือความชั่วของผู้คน เล่าถึงผู้ที่ปฏิบัติตนด้วยความสงบและเปิดใจ ไม่เลือกข้าง ไม่แบ่งฝักฝ่าย และยังคงมีความจริงใจต่อทุกชีวิต ความไม่ยึดมั่นถือมั่นนี้ทำให้ผู้คนค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงตนเอง และการโอบอ้อมอารีจึงกลายเป็นพลังที่ทำให้ทั้งศัตรูและเพื่อนฝูงค่อย ๆ กลายเป็นผู้ดี เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:
คุณสมบัติแห่งความโอบอ้อมอารี
นักปราชญ์ไม่ได้มีความคิดตายตัวของตนเอง แต่เปิดใจรับเอาความคิดของผู้คนมาเป็นของเขาเอง
ต่อผู้ที่ดีกับเขา เขาก็ดีด้วย ต่อผู้ที่ไม่ดีกับเขา เขาก็ยังดีด้วย และด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงค่อย ๆ กลายเป็นคนดี
ต่อผู้ที่จริงใจกับเขา เขาก็จริงใจด้วย ต่อผู้ที่ไม่จริงใจกับเขา เขาก็ยังจริงใจด้วย และด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงค่อย ๆ กลายเป็นผู้จริงใจนักปราชญ์ดูเหมือนเป็นผู้ไม่ตัดสินใจแน่ชัด เหมือนใจลอย ๆ ไม่ยึดติดสิ่งใด แต่แท้จริงแล้วเขาวางใจเป็นกลาง ไม่แบ่งแยกหรือเลือกข้าง ผู้คนทั้งหลายต่างมองหาเขา ฟังเขา และเขาก็ปฏิบัติต่อทุกคนเสมือนลูกของตนเอง
โดยเล่าจื๊อสอนว่า ผู้ที่เข้าใจแก่นแท้ของบทนี้ ย่อมสามารถวางใจเป็นกลาง ไม่ตัดสินผู้อื่นตามความพอใจหรืออคติ รับฟังและปฏิบัติต่อทุกชีวิตด้วยความจริงใจและเมตตา ด้วยวิธีนี้ ผู้คนรอบข้างค่อย ๆ เรียนรู้ที่จะตอบสนองด้วยความดีและความจริงใจเช่นกัน จิตใจของผู้ที่มีคุณสมบัติอันโอบอ้อมอารีจึงกว้างใหญ่ดุจฟ้า ไม่อ่อนไหวต่อความดีหรือความชั่วภายนอก และสามารถอยู่ร่วมกับสรรพสิ่งได้อย่างสงบ
นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว โดยเปรียบชายหนุ่มผู้หยาบคายและเกราะใจแข็งกับผู้คนที่ใจแข็งกร้าวต่อความดี แม้ภายนอกเขาจะโกรธหรือเยาะเย้ย แต่ภายในใจยังมีความเปราะบางและรอยแผลที่รอการเปลี่ยนแปลง การปฏิบัติตนด้วยความโอบอ้อมอารีจึงเป็นวิธีที่ทำให้ความร้ายค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความดี และนี่คือหัวใจของบทที่ 49 ที่เล่าจื๊ออยากให้ผู้คนตระหนักและเรียนรู้
คติธรรม: “ผู้ที่เปิดใจและโอบอ้อมอารีต่อทุกชีวิต จะค่อย ๆ เปลี่ยนความโกรธและความหยาบให้กลายเป็นความดีและความจริงใจ”

