บางครั้ง การให้สิ่งล้ำค่าที่สุดแก่ผู้อื่นไม่ใช่เรื่องยากเท่ากับการยินดีรับผลของการให้นั้นอย่างสงบนิ่ง แม้หัวใจจะหวั่นไหวเพียงใดก็ตาม
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ที่กล่าวถึงคำมั่นสัญญา… ไม่ใช่ในฐานะคำพูดที่ผูกมัด แต่เป็นบททดสอบของใจ ว่าแท้จริงแล้ว เราสามารถรักษาคำพูดนั้นไว้ได้อย่างไม่ทุกข์หรือไม่ กับนิทานชาดกเรื่องคำสัญญา

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องคำสัญญา
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาพระองค์หนึ่งผู้เปี่ยมด้วยเมตตาและเป็นที่รักของประชาชนทั่วทั้งแว่นแคว้น
พระองค์ไม่โปรดเพียงการปกครองด้วยกฎหมาย แต่ทรงให้ความสำคัญกับหัวใจของผู้คน พระองค์มักเสด็จออกตรวจตราบ้านเมืองด้วยพระองค์เอง เพื่อให้ได้เห็นชีวิตจริงของราษฎร
วันหนึ่ง ระหว่างทางที่เสด็จผ่านทุ่งนาและหมู่บ้าน พระองค์ทอดพระเนตรเห็นชายหญิงคู่หนึ่งนั่งเงียบงันใต้ต้นไม้ใหญ่ ใบหน้าทั้งสองเต็มไปด้วยความเศร้า
“เหตุใดเจ้าทั้งสองจึงดูทุกข์ใจนัก?” พระราชาตรัสถามด้วยเสียงอ่อนโยน
ชายหญิงเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงสั่น “พวกข้าขาดสิ่งเดียวในชีวิต… คือบุตรที่จะเป็นแสงสว่างในยามแก่เฒ่า”
พระราชาทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงพระเนตรเต็มไปด้วยความสงสารอย่างลึกซึ้ง
เมื่อเสด็จกลับถึงวัง พระราชาทรงครุ่นคิดถึงคำพูดของคู่สามีภรรยาคู่นั้นอยู่ตลอดเวลา ทรงมองดูพระโอรสที่ยังเยาว์วัยกำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวนหลวง ดวงใจเต็มไปด้วยความรัก แต่ก็แฝงด้วยความรู้สึกหนักแน่นบางอย่างที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น
ในยามบ่าย พระองค์ตรัสเรียกข้าราชบริพารให้จัดรถม้า และเสด็จพร้อมพระโอรสกลับไปยังหมู่บ้านนั้นอีกครั้ง
เมื่อไปถึง พระราชาประคองพระโอรสลงจากรถ แล้วตรัสกับชายหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าทั้งสองอยากมีบุตรใช่หรือไม่? ตั้งแต่วันนี้ เขาคือบุตรของเจ้า”
ชายหญิงทั้งสองตะลึง น้ำตาเอ่อเต็มดวงตา “พะยะค่ะ… หม่อมฉันจะดูแลเขาให้ดียิ่งกว่าชีวิตตนเอง แต่พระองค์… จะไม่เสียใจหรือ?”
พระราชาทรงยิ้มบาง ๆ ตอบว่า “ข้าให้คำสัญญา ข้าจะไม่ขอเขาคืน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
บัดนั้นเอง เสียงนกร้องพลันดังขึ้นในท้องฟ้าเหนือหัว เหมือนธรรมชาติกำลังเป็นพยานแห่งคำมั่นอันหนักแน่นของผู้มีใจเมตตา

กาลเวลาผ่านไป ฤดูเปลี่ยนผันหลายรอบ พระราชายังคงทรงงานตามปกติ แต่ภายในใจกลับเริ่มรู้สึกถึงความว่างเปล่าที่แผ่วเบาแต่ชัดเจน
ทุกยามค่ำคืน เมื่อทอดพระเนตรเห็นของเล่นเก่า ๆ หรือได้ยินเสียงเด็กหัวเราะในสวน พระองค์จะเงียบลงนานกว่าปกติ แววตาที่เคยแจ่มใสเริ่มมีเงาเศร้าจาง ๆ แฝงอยู่
เสนาบดีผู้ใกล้ชิดซึ่งติดตามพระราชามานานเห็นความเปลี่ยนแปลงนั้น และแม้พระองค์ไม่เอ่ยอะไรออกมา แต่เสนาบดีก็รู้ว่าหัวใจของกษัตริย์กำลังร่ำหาใครบางคนที่ทรงเคยสละไปด้วยตนเอง
วันหนึ่ง เสนาบดีได้จัดให้มีการแสดงขึ้นในลานหลวง เป็นการแสดงโชว์ศิลปะการต่อสู้จากแดนไกล เพื่อเบี่ยงเบนความเศร้าของพระราชา
ในการแสดงครั้งนั้น มีชายผู้หนึ่งกลืนดาบเข้าไปต่อหน้าผู้ชมทั้งลาน เสียงร้องอื้ออึงดังขึ้นด้วยความตื่นเต้น
พระราชาทรงตรัสถามขึ้นเบา ๆ “มีสิ่งใดบ้าง ที่ยากยิ่งกว่าการกลืนดาบ?”
เสนาบดีหันมามองพระพักตร์นิ่ง ๆ แล้วกล่าวว่า “มีสิ่งหนึ่งพะยะค่ะ… คือการรักษาสัญญา โดยไม่ให้ความเสียใจกลืนกินหัวใจของตน”
คำพูดของเสนาบดีเปรียบดั่งสายลมเย็นที่พัดผ่านเปลวไฟแห่งความเศร้าในใจพระราชา พระองค์นิ่งไปนาน แล้วค่อย ๆ ถอนหายใจอย่างสงบ
“ใช่แล้ว” พระองค์ตรัสแผ่วเบา “ข้ารักษาสัญญา… แต่ใจของข้ายังไม่อ่อนโยนพอที่จะปล่อยวางโดยสิ้นเชิง”
หลังจากวันนั้น พระราชาทรงเปลี่ยนไป ทรงกลับมาเยี่ยมราษฎรบ่อยขึ้น เสด็จไปเยี่ยมชายหญิงคู่นั้นด้วยความยินดี และเมื่อเห็นเด็กคนนั้นเติบโตขึ้นท่ามกลางความรักและความอบอุ่น พระองค์ก็ยิ้มได้อย่างแท้จริง
แม้คำสัญญาจะเป็นสิ่งที่ผูกมัด แต่พระราชาได้เรียนรู้ว่า ความหมายที่แท้จริงของสัญญา มิใช่เพียงการยึดมั่นในคำพูด แต่คือการปล่อยวางด้วยเมตตา และยินดีต่อความสุขของผู้อื่นแม้จะต้องเสียบางสิ่งของตนไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การให้คำมั่นไม่ใช่เรื่องยาก แต่การรักษาคำมั่นด้วยใจที่ไม่หวั่นไหวกลับเป็นสิ่งที่ท้าทายยิ่งกว่า เพราะแท้จริงแล้ว ความซื่อสัตย์ต่อคำพูด ต้องมาคู่กับความซื่อสัตย์ต่อใจของตนเอง
แม้พระราชาจะมอบสิ่งที่รักที่สุดให้ผู้อื่นด้วยใจเมตตา แต่เมื่อความคิดถึงเริ่มแทรกซึมเข้ามา พระองค์ก็ได้เรียนรู้ว่าการรักษาสัญญาอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่การไม่คืนคำ แต่คือการยอมรับความเปลี่ยนแปลงโดยไม่ให้ความเศร้าเอาชนะใจตน
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องคำสัญญา (อังกฤษ: The Promise) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ สะท้อนให้เห็นถึงคุณธรรมเรื่องการรักษาคำพูด และการละวางจากความยึดติด แม้ในสิ่งที่ตนรักที่สุด
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งแสดงความทุกข์ใจจากการที่ตนเคยให้คำมั่นไว้ แต่ต่อมาเกิดความลังเลและเสียใจ จนไม่แน่ใจว่าจะทำตามสัญญาต่อไปได้หรือไม่
พระองค์จึงตรัสเล่าเรื่องของพระราชาผู้หนึ่ง ที่แม้จะยกสิ่งที่รักที่สุดให้ผู้อื่นตามคำสัญญา แต่ภายหลังกลับเกิดความคิดถึงขึ้นในใจ จนต้องเรียนรู้ว่า แก่นแท้ของคำมั่น มิได้อยู่ที่การยึดมั่นเพียงคำพูด แต่คือการยึดมั่นด้วยใจที่อ่อนโยนและรู้จักปล่อยวางอย่างแท้จริง
ชาดกเรื่องนี้จึงสอนให้เห็นว่า คำสัญญาไม่ใช่เพียงเรื่องของถ้อยคำ แต่คือบททดสอบของจิตใจ ที่ต้องใช้ทั้งความซื่อสัตย์ เมตตา และปัญญาในการรักษาให้มั่นคง
คติธรรม: “สัญญาที่แท้ ไม่ใช่เพียงการไม่คืนคำ แต่คือการไม่เสียใจในสิ่งที่ได้ให้ไปด้วยใจเต็มร้อย”