ความเงียบของนักบวช ไม่ได้แปลว่าไม่มีไฟในใจ และเสียงหัวเราะของผู้ไม่รู้ ก็อาจเป็นชนวนให้ไฟนั้นลุกขึ้นมาในวันที่ไม่มีใครคาดคิด
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงนักบวชผู้เคร่งวินัยที่เก็บความแค้นไว้ในใจ กับลิงฝูงหนึ่งที่ใช้สวนหลวงเป็นสนามเล่น เมื่อความซุกซนเกินขอบเขตมาพบกับความอดกลั้นที่ถูกทดสอบ คำเตือนจึงกลายเป็นเส้นแบ่งระหว่างชีวิต… กับความสูญเสีย กับนิทานชาดกเรื่องการแก้แค้นของนักบวช

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องการแก้แค้นของนักบวช
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ สวนหลวงอันร่มรื่นของพระราชา สัตว์ป่านานาชนิดอาศัยอยู่โดยไม่มีผู้ใดไล่ให้ไป ที่นั่นมีกลุ่มลิงจำนวนมากใช้ต้นไม้เป็นที่พักพิง ใช้กิ่งใบเป็นที่วิ่งเล่น พวกมันไม่ทำร้ายผู้ใด และมีหัวหน้าลิงผู้มีสติคอยแนะนำให้ดำรงชีวิตอยู่โดยไม่เบียดเบียน
วันหนึ่ง นักบวชประจำราชสำนักผู้เคร่งในวัตรปฏิบัติเดินผ่านสวนแห่งนั้น ลิงหลายตัวยืนมองด้วยความสงสัย แต่มีลิงตัวหนึ่งเอาแต่ใจ มันโหนต้นไม้ หัวเราะเสียงดัง แล้วโยนผลไม้ใส่เท้านักบวชอย่างจงใจ
นักบวชหยุดเดิน ใบหน้าเคร่งขรึมเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว เขาไม่พูดไม่ว่า แต่ในใจกลับเก็บความโกรธไว้เงียบ ๆ
“สัตว์พวกนี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง วันหนึ่งจะต้องได้รับผลของความลำพองนี้”
เขาเดินจากไปโดยไม่หันกลับ แต่ในใจวางแผนเงียบ ๆ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะตอบโต้
เมื่อหัวหน้าลิงทราบเรื่องว่าลูกฝูงไปล่วงเกินนักบวชผู้มีอิทธิพลในราชสำนัก เขารู้ทันทีว่าที่ของพวกตนในสวนหลวงจะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
เขาจึงเรียกลิงทุกตัวมานั่งรวมกันใต้ต้นไม้ใหญ่
“ฟังให้ดี พวกเรากำลังตกอยู่ในอันตราย” หัวหน้าลิงกล่าว “ผู้ที่มีฤทธิ์ทางใจย่อมไม่แสดงออกด้วยเสียงดัง แต่ความคิดเขาสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาของพวกเราได้”
ลิงบางตัวพยักหน้าเห็นด้วย เตรียมตัวเก็บข้าวของเพื่อย้ายไปยังป่าห่างไกล
แต่มีลิงหลายตัวหัวเราะเยาะคำเตือน
“ก็แค่โยนผลไม้ใส่ ยังจะกลัวไปถึงไหน?”
“นักบวชจะมายุ่งอะไรกับลิงในสวน?”
แม้จะไม่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า แต่ลิงหัวหน้ารู้ดีว่า ความเงียบของผู้มีอำนาจ มักนำไปสู่การกระทำที่ไม่มีคำอธิบาย
เขากล่าวเตือนอีกครั้งด้วยเสียงหนักแน่น
“ใครอยากมีชีวิตรอด จงรีบออกจากที่นี่ก่อนจะสายเกินไป”
ลิงจำนวนหนึ่งจากไปพร้อมเขา ส่วนที่เหลือ ยังคงอยู่ในสวนด้วยความประมาท

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ฤดูเปลี่ยนจากฝนสู่ร้อน จากร้อนสู่หนาว กลุ่มลิงที่เลือกอยู่ต่อก็ยังคงดำรงชีวิตตามเดิม เล่นซน กินผลไม้ และหลับใหลตามกิ่งไม้โดยไม่รู้เลยว่าเงาแห่งอันตรายกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้
วันหนึ่ง เกิดเหตุเพลิงไหม้ในคอกม้าหลวง ม้าหลายตัวถูกไฟลวก หนังพุพอง ขนไหม้จนส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด
พระราชาทรงวิตกยิ่งนัก จึงรับสั่งให้นำม้าไปรักษา และตรัสถามนักบวชประจำราชสำนักว่า
“ท่านผู้ทรงธรรม มีวิธีเยียวยาบาดแผลของสัตว์อันเป็นทรัพย์แห่งราชสำนักหรือไม่?”
นักบวชเงียบไปครู่หนึ่ง แววตาที่เคยนิ่งสงบมีประกายบางอย่างแฝงอยู่ แล้วกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ
“มีวิธีหนึ่ง… แต่ต้องใช้ไขมันของลิงสด ๆ จึงจะได้ผลเร็วและหายไว”
พระราชาทรงตกพระทัย แต่เมื่อเห็นสภาพม้าผู้จงรักภักดีเจ็บปวด ก็จำต้องยอม
“งั้นจงให้ทหารไปจับลิงในสวนหลวงมาเถิด”
ไม่นาน ทหารหลวงพร้อมอาวุธก็เข้าไปในสวน ลิงที่เคยวิ่งเล่นบนกิ่งไม้ไม่มีเวลาหลบหนี บางตัวยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ถูกจับใส่ถุงผ้า บางตัวส่งเสียงร้องลั่นอย่างหวาดกลัว
ไม่มีใครรอด ไม่มีใครขัดคำสั่งได้ และแน่นอน ไม่มีใครช่วยพวกมันได้อีกแล้ว
ไม่นานหลังจากนั้น กลิ่นควันก็ลอยจากห้องปรุงยา และบาดแผลของม้าก็เริ่มแห้งลง
บนยอดเขาห่างไกล กลุ่มลิงที่จากไปก่อนหน้านี้นั่งมองทิวหมอกอย่างเงียบงัน
ลิงตัวหนึ่งพูดขึ้นเบา ๆ
“หากพวกเขาเชื่อหัวหน้า… วันนี้คงได้เห็นพระอาทิตย์ดวงเดียวกับเรา”
หัวหน้าลิงไม่พูดอะไร เพียงหลับตาลงช้า ๆ พร้อมสายลมที่พัดผ่านราวจะเตือนว่าบางครั้ง ความเงียบ คือคำเตือนที่ดังกว่าคำพูด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… เมื่อผู้มีฤทธิ์โกรธ เงียบเฉยไม่แปลว่าเขาให้อภัย และเมื่อผู้มีสติเตือน หากไม่ฟัง ผลที่ตามมาอาจไม่มีโอกาสให้แก้ตัว
นักบวชผู้ถูกลิงล้อเลียน ไม่ได้ตอบโต้ทันที แต่เก็บความโกรธไว้เงียบ ๆ จนกลายเป็นการแก้แค้นที่ไม่มีใครคาดคิด ขณะเดียวกัน หัวหน้าผู้มีสติได้เตือนเหล่าลิงด้วยเจตนาดี ทว่าคำเตือนนั้นถูกมองข้าม บางครั้งภัยร้ายไม่ใช่เรื่องใหญ่โตในทันที แต่มักเริ่มจากเรื่องเล็ก ที่ถูกหัวเราะเยาะและมองข้ามด้วยความประมาท
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
การแก้แค้นของนักบวช (อังกฤษ: The Priest’s Revenge) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวด สัตว์ชาดก ซึ่งเป็นชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงธรรมผ่านพฤติกรรมของสัตว์ที่มีสติและคุณธรรม
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อมีภิกษุบางรูปตั้งคำถามเกี่ยวกับผลแห่งการดูหมิ่นผู้มีธรรม และการไม่เชื่อฟังคำเตือนของผู้มีสติ แม้จะดูเหมือนเล็กน้อย แต่หากละเลย อาจก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงในภายหลัง
ชาดกเรื่องนี้จึงสะท้อนให้เห็นว่า ความโกรธของผู้มีอำนาจ แม้ไม่แสดงออกทันที ก็ใช่ว่าจะไม่มีผล และคำเตือนของผู้นำที่เปี่ยมด้วยปัญญา หากไม่เชื่อฟัง ก็อาจสายเกินแก้
คติธรรม: “ผู้ไม่ฟังคำเตือนจากผู้มีปัญญา ย่อมแบกรับผลของความดื้อรั้นด้วยตนเอง”