ในใจของมนุษย์ มีบางเสียงที่กระซิบว่า “ข้างหน้า… อาจมีสิ่งที่ดีกว่า” เสมอ เสียงนั้นผลักเราให้เดิน เดิน และเดินต่อไป แม้ในวันที่เรามีทุกอย่างแล้วก็ตาม
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงชายผู้ไม่หยุดพัก เพราะเชื่อว่าความสุขอยู่ไกลออกไปอีกนิดเสมอ เขาเดินทางผ่านแผ่นดินที่งดงามที่สุด แต่สุดท้ายกลับจบลงในที่ที่ไม่มีใครอยากไปถึง นอกจากผู้ที่ไม่รู้จักคำว่า “พอ” กับนิทานชาดกเรื่องราคาของความโลภ

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องราคาของความโลภ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มผู้หนึ่งเป็นกะลาสีเรือ เขามีใจรักในการเดินทาง ชอบออกสำรวจที่ใหม่ ๆ และเชื่อว่าความสุขอยู่ที่สิ่งที่ยังไม่ได้พบ
เมื่อเขาเห็นขอบฟ้าที่ไกลสุดตา หัวใจของเขาก็เต้นแรง ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะความคาดหวังว่า “ดินแดนที่ดีกว่า” อาจรอเขาอยู่
ในการเดินทางครั้งหนึ่ง เรือของเขาล่องไปจนถึงเกาะแห่งหนึ่ง ที่นั่นเต็มไปด้วยผลไม้แปลกตา รสชาติหวานฉ่ำ กลิ่นหอมชื่นใจ
เขากินจนพอใจ นั่งพักในเงาร่มไม้ มองท้องฟ้าแล้วพูดกับตัวเองเบา ๆ
“ดีเหลือเกิน… แต่บางที ยังมีที่ดีกว่านี้อีก”
เมื่อความรู้สึกนั้นเกิดขึ้น เขาก็ไม่ลังเล เขากลับขึ้นเรือ ล่องต่อไปโดยไม่หันกลับ
การเดินทางพาเขามาถึงดินแดนแห่งอาหารโอชะ เหล้าองุ่นใสและขนมหวานหลากชนิดถูกวางตรงหน้า ผู้คนยิ้มแย้ม อบอุ่น และเปิดต้อนรับเขาราวกับเป็นแขกพิเศษ
เขาได้กิน ได้ดื่ม ได้หัวเราะกับผู้คนในเมืองนั้นอย่างเต็มอิ่ม
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกหนึ่งก็ค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามา
“หรือที่นี่ก็ยังไม่ใช่ที่สุด?”
อีกครั้ง เขากล่าวลาอย่างเงียบ ๆ ในใจ แล้วออกเดินทางต่อ แม้จะไม่มีใครไล่ ไม่มีใครบังคับ
ครั้งนี้ เขาพบดินแดนที่เหมือนหลุดจากนิทาน มีแสงสว่างระยิบระยับ นางฟ้าผู้งดงามต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน พวกนางกล่าวว่า
“ที่นี่คือที่ที่เจ้าสมควรได้รับ”
เขาได้รับการปรนนิบัติ ได้สิ่งที่ต้องการก่อนจะเอ่ยถึง ได้รับทุกอย่างโดยไม่ต้องร้องขอ
แต่แม้ในขณะที่ร่างกายอยู่ท่ามกลางความสุข ใจของเขากลับเงียบลง และเอ่ยคำถามแผ่วเบาในความคิด
“หรือ… ยังมีสิ่งที่ดีกว่ารออยู่?”

ในที่สุด เขาก็จากมาจากดินแดนแห่งนางฟ้าเช่นเดียวกับที่เคยทำกับทุกที่ แม้นางฟ้าทั้งหลายจะไม่ได้เอ่ยถ้อยคำรั้งไว้ แต่แววตาก็เต็มไปด้วยความสงสาร
เรือของเขาล่องผ่านทะเลที่เงียบผิดปกติ ไม่มีเสียงคลื่น ไม่มีลม ไม่มีนก ไม่มีสีของท้องฟ้า มีเพียงหมอกสีเทาและแสงจางจากดวงอาทิตย์ที่ดูเหมือนกำลังหลับ
เขามาถึงแผ่นดินที่ไร้ผู้คน ไม่มีกลิ่น ไม่มีเสียง มีเพียงพื้นหินเย็นเฉียบ และอากาศที่หนักหน่วงราวกับลมหายใจถูกกดทับ
ที่กลางลานหิน เขาเห็นชายคนหนึ่งนั่งนิ่งอยู่ สวมโซ่เหล็กหนาเงามืด ใบหน้าเศร้าสร้อยไม่ไหวติง
เขาเดินเข้าไปใกล้ มองโซ่ที่พันอยู่ด้วยความประหลาดใจ
“เหมือนทองเลย… หรืออาจเป็นทองจริง ๆ”
เขาก้มลง ค่อย ๆ คลายโซ่ออกจากร่างของชายผู้นั้น แล้วลองสวมลงที่ข้อมือของตน
โซ่เย็นเฉียบ สัมผัสแรกเหมือนโลหะมีค่า ทว่าเมื่อสวมครบ ความรู้สึกก็เปลี่ยนทันที
โซ่ที่เคยเย็นกลายเป็นร้อนราวไฟ รัดแน่นจนรู้สึกเหมือนเลือดจะหยุดไหล แขนสั่น ใจเต้นถี่
เขาพยายามถอดมันออก แต่ยิ่งดิ้น ก็ยิ่งแน่น ยิ่งกรีดร้อง ก็ยิ่งเหมือนเสียงจมหายไปในอากาศ
พื้นหินที่เคยเยือกเย็นเริ่มร้อนระอุ กลายเป็นสีแดงคล้ำ ไฟไม่ลุกแต่แผดเผา ความเงียบไม่สงบแต่กดทับ
ชายที่เคยนั่งเงียบยังคงอยู่ แต่ใบหน้าเปลี่ยนไป… ราวกับเงาสะท้อนของเขาเองในอีกเวลา
เขารู้ในทันทีว่า ดินแดนนี้ไม่ใช่ดินแดนใหม่ ไม่ใช่สวรรค์แห่งถัดไป แต่มันคือปลายทางของความโลภ ดินแดนที่ไม่มีทางออก
เขานั่งลง ข้าง ๆ เงานั้น ก้มหน้า ยอมรับโซ่ของตนที่ไม่มีใครคลายให้ได้อีกแล้ว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความโลภไม่มีจุดจบ และผู้ที่เดินตามมันไปเรื่อย ๆ จะพบว่าปลายทางไม่ใช่สิ่งที่ดีกว่า แต่อาจเป็นสิ่งที่ไม่มีวันแก้คืนได้เลย
ชายผู้เดินทางตามความอยากเชื่อว่า “ข้างหน้า” จะมีสิ่งที่ดีกว่าเสมอ แต่แทนที่จะหยุดและซาบซึ้งกับสิ่งที่ตนมี เขากลับละทิ้งทุกความสุขในปัจจุบันเพื่อไล่ล่าความสมบูรณ์แบบในจินตนาการ
บางครั้ง สิ่งที่เราคิดว่า “น้อยเกินไป” อาจเป็นสิ่งที่เพียงพอที่สุดแล้ว และเมื่อความอยากถูกปล่อยให้ไหลไปโดยไม่มีสติ จุดสุดท้ายอาจไม่ใช่ความสำเร็จ… แต่คือ “พันธนาการ” ที่เราสวมเอง โดยไม่มีใครบังคับเลยแม้แต่น้อย
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องราคาของความโลภ (อังกฤษ: The Price of Greed) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดกผสมอุปมาชาดก ซึ่งเน้นการเปรียบเปรยธรรมผ่านพฤติกรรมของมนุษย์ โดยไม่จำเป็นต้องอิงเหตุการณ์จริงในอดีตชาติของพระโพธิสัตว์ แต่สะท้อนหลักธรรมสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความโลภ ความไม่รู้จักพอ และผลแห่งกรรมทางใจ
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องทำนองนี้ขึ้น เมื่อภิกษุบางรูปตั้งคำถามถึงความอยากที่ไม่สิ้นสุดของมนุษย์ ว่าเหตุใดบางคนถึงละทิ้งสิ่งดีที่มีอยู่แล้ว เพื่อวิ่งตามสิ่งใหม่อยู่ร่ำไป จนสุดท้ายกลับพาตัวเองไปสู่ความทุกข์
ชาดกเรื่องนี้จึงสะท้อนให้เห็นว่า ความโลภไม่ใช่แค่ความอยาก แต่คือแรงผลักที่หลอกให้เราเชื่อว่าความสุขอยู่ข้างหน้าเสมอ และเมื่อไม่มีสติ เราอาจเดินไปจนเกินจุดที่หันกลับไม่ได้
คติธรรม: “ผู้ที่ไม่รู้จักพอ แม้ได้ทั้งโลก ก็ยังไม่วายเป็นทาสของความว่างเปล่า”