ปกนิทานชาดกเรื่องราคาของการไม่เชื่อฟัง

นิทานชาดกเรื่องราคาของการไม่เชื่อฟัง

ในทุกครอบครัว ย่อมมีความปรารถนาดีที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า บางครั้ง คำพูดของพ่อแม่อาจฟังดูจืดชืด ไร้ความสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อลูกกำลังมองหาทางของตนเอง

มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงเด็กหนุ่มผู้มีทางเลือกอยู่ตรงหน้า หนึ่งคือคำสอนของมารดาผู้เงียบสงบ อีกหนึ่งคือเส้นทางแห่งความฝันที่ไม่มีใครเตือนเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเขาเลือกทางผิด… ราคาของการไม่ฟัง ก็ไม่มีใครจ่ายแทนได้เลย กับนิทานชาดกเรื่องราคาของการไม่เชื่อฟัง

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องราคาของการไม่เชื่อฟัง

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องราคาของการไม่เชื่อฟัง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในนครมั่งคั่งแห่งหนึ่ง มีพ่อค้าและภรรยาผู้หนึ่งซึ่งมีศรัทธาแรงกล้าในธรรมะ ทั้งสองตื่นเช้าทุกวันเพื่อสวดมนต์ จุดธูปกราบพระ และออกไปทำทานโดยไม่ขาด

พวกเขามีบุตรชายเพียงคนเดียว ชื่อว่าสุมนะ เด็กชายรูปร่างดี ฉลาดปราดเปรื่อง แต่กลับไม่ศรัทธาในสิ่งที่พ่อแม่ยึดถือ เขามักถอนหายใจยามได้ยินเสียงสวด และแอบหลบออกไปเล่นเมื่อถึงเวลาฟังธรรม

วันหนึ่ง มารดาของสุมนะทนไม่ไหว จึงเรียกลูกมานั่งตรงหน้า พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ลูกเอ๋ย แม่ไม่ได้ต้องการให้เจ้าศรัทธาเพียงเพราะเราบอก แต่ขอเพียงเจ้าเปิดใจฟังสักครั้ง แล้วค่อยตัดสินเองก็ยังไม่สาย”

สุมนะทำหน้าเบื่อหน่าย “แม่ก็พูดเหมือนเดิมทุกวัน…”

มารดาจึงเปลี่ยนวิธี เธอยื่นถุงเงินเล็ก ๆ ให้ลูกชาย “ถ้าเจ้าไปวัดพรุ่งนี้ ฟังธรรมจากพระนักบวชที่มาแสดงธรรม แม่จะให้ถุงเงินนี้เป็นรางวัล”

ทันใดนั้น สุมนะก็เงยหน้าขึ้นด้วยแววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย “แค่ไปนั่งใช่ไหม ไม่ต้องพูดอะไร?”

“ใช่จ้ะ แค่นั้นก็พอ”

รุ่งเช้า สุมนะแต่งตัวเรียบร้อย และเดินไปยังวัดตามที่รับปากไว้ ผู้เป็นแม่มองตามหลังด้วยแววตาเปี่ยมความหวัง

ในศาลาธรรม ผู้คนมากมายมานั่งเรียงกันอย่างสงบ พระนักบวชผู้มีวัตรอ่อนโยนเริ่มแสดงธรรมด้วยน้ำเสียงมั่นคง

แต่สุมนะกลับค่อย ๆ เอนหลังพิงเสา หยิบผ้าคลุมมาคลุมตา และ… หลับลงไปอย่างเงียบงัน

เสียงธรรมะที่สละสลวยไม่อาจปลุกใจเขาได้เลย

เมื่อกลับถึงบ้าน มารดาก็ยิ้มออกมาทันที “ลูกได้ฟังธรรมแล้วหรือ?”

สุมนะยื่นมือรับถุงเงินก่อนตอบ “อืม… ท่านพูดเยอะมาก”

ผู้เป็นแม่ไม่เอ่ยอะไรอีก เพราะยังเชื่อว่าเพียงการได้ใกล้ชิดธรรม ก็อาจปลุกศรัทธาขึ้นได้ในวันหนึ่ง

แต่สิ่งที่ตามมากลับไม่เป็นเช่นนั้น

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องราคาของการไม่เชื่อฟัง 2

หลายวันผ่านไป มารดาหวังอยู่ในใจว่าลูกชายอาจชวนพระนักบวชมาเยือนบ้าน หรืออย่างน้อยก็เอ่ยถึงธรรมะที่ได้ยินบ้าง แต่สุมนะเงียบสนิท

กระทั่งเช้าวันหนึ่ง เขาเดินเข้ามาหาแม่ด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

“แม่ครับ ข้าอยากเดินทางไปค้าขายต่างเมือง ใช้เงินที่แม่ให้มาเป็นทุน ข้าคิดว่าชีวิตข้างหน้าต้องดีกว่านั่งฟังธรรมอยู่เฉย ๆ”

มารดาตกใจ รีบจับมือลูกไว้

“ลูก… แม่ขอเพียงอย่างเดียว อย่าเพิ่งไปเลย ยังไม่ถึงเวลา เจ้ายังไม่พร้อม โลกภายนอกไม่เหมือนที่เจ้าคิด”

แต่สุมนะส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าพร้อมแล้ว แม่ไม่ต้องห่วง”

เช้าวันต่อมา สุมนะขึ้นเรือสินค้าใหญ่พร้อมพ่อค้าอีกหลายคน ลมทะเลโบกสะบัด ธงสีสดปลิวไสวเหมือนจะประกาศจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่

ขณะที่มารดายืนอยู่ที่ท่าเรือ สีหน้าหม่นหมอง หัวใจสั่นด้วยลางที่บอกไม่ได้ว่าคืออะไร

เรือของสุมนะล่องไปกลางทะเลหลวง ฟ้าสดคลื่นสงบในวันแรก แต่ในวันที่สาม เมฆดำเริ่มลอยต่ำ เสียงฟ้าร้องสั่นคลอนหัวใจ

พ่อค้าเริ่มกวาดสายตามองท้องฟ้าด้วยความกังวล

“ดูเหมือนพายุจะมา…”

ไม่นาน ลมก็แปรปรวน คลื่นสูงดั่งกำแพง ถังน้ำจืดกลิ้งไถลไปมากับพื้นไม้ เสากระโดงลั่นเอี๊ยดด้วยแรงอัด

เรือโคลงเคลง พ่อค้าหลายคนพยายามวิดน้ำออก แต่เปล่าประโยชน์

สุมนะยืนอยู่กลางลำเรือ จ้องท้องฟ้าด้วยใจสั่น

“แม่… ข้าไม่น่าดื้อกับแม่เลย…”

น้ำทะเลไม่ฟังคำสำนึก เรือทั้งลำถูกคลื่นโถมใส่และกลืนหายไปในความมืดของมหาสมุทร

ที่บ้าน มารดาเฝ้ารออยู่ริมหน้าต่างนานนับเดือน จนข่าวเรือล่มมาถึง นางไม่ได้ร่ำไห้เสียงดัง เพียงแต่นั่งเงียบงันอยู่ใต้พระประจำบ้าน แล้วหลับตา

“ขอให้ดวงจิตเจ้ารับรู้ว่า… แม่ให้อภัยตั้งแต่แรกแล้ว”

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องราคาของการไม่เชื่อฟัง 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การไม่ฟังเสียงเตือนจากผู้หวังดี อาจนำเราไปสู่ทางที่ไม่มีวันหวนกลับได้

สุมนะไม่ได้ผิดเพียงเพราะเขาอยากออกไปแสวงหาทางของตน แต่เขาปิดหูไม่ฟังคำเตือนจากผู้ที่รักเขาจริง แม้มารดาจะไม่ขัดขวางด้วยความรุนแรง แต่ก็ได้ยื่นมือแห่งสติให้ลูกคว้า ทว่าเขากลับเมินเฉย

บางครั้งความดื้อรั้นที่ดูเหมือนไม่มีผลในวันนี้ อาจกลายเป็นเหตุแห่งความสูญเสียในวันหน้า และเมื่อถึงเวลาที่เราอยากย้อนกลับไปฟังให้เข้าใจ คำเตือนเหล่านั้นอาจกลายเป็นเพียงเสียงเงียบในความว่างเปล่า

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานชาดกเรื่องราคาของการไม่เชื่อฟัง (อังกฤษ: The Price of Disobedience) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่กล่าวถึงชาติภพที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ หรือเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์โดยตรง เพื่อแสดงให้เห็นธรรมะผ่านความสัมพันธ์ในครอบครัว และการตัดสินใจของบุคคล

พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อภิกษุบางรูปตั้งคำถามว่า เหตุใดบางคนแม้จะเติบโตมาในครอบครัวที่มีธรรมะ กลับยังประพฤติตนห่างเหินจากศีลธรรม และต้องประสบชะตากรรมอันน่าเศร้า

พระองค์จึงตรัสเล่าถึงชาติหนึ่ง ซึ่งพระองค์ได้เกิดเป็นผู้มีปัญญาในหมู่บ้านเดียวกับชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งไม่เชื่อฟังมารดา และได้เห็นผลของการเพิกเฉยต่อคำเตือนด้วยตาตนเอง

ชาดกเรื่องนี้จึงเป็นคำเตือนว่า “เสียงของผู้หวังดีนั้นเบา… แต่หากเราฟังด้วยใจ เสียงนั้นจะดังพอจะเปลี่ยนชีวิตเราได้”

คติธรรม: “คำเตือนของผู้หวังดี แม้ฟังดูขัดใจ แต่คือแสงนำทางก่อนที่ความมืดจะกลืนเราไป”


by