ในโลกใบนี้ ความฉลาดและความสามารถอาจพาเราไปได้ไกล แต่ไม่ใช่ทุกเส้นทางที่ควรเดิน จะถูกเลือกด้วยความกล้าเพียงอย่างเดียว
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงนกสองตัวที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน หนึ่งคือผู้มีใจสงบ อีกหนึ่งคือผู้ถูกครอบงำด้วยกลิ่นหอมแห่งความอยาก เมื่อเสียงเตือนถูกมองข้าม สิ่งที่ตามมาจึงไม่ใช่สิ่งที่หวัง แต่คือบทเรียนที่ยากจะลืม กับนิทานชาดกเรื่องนกพิราบกับอีกา

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องนกพิราบกับอีกา
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีผู้มั่งคั่งอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ เขาสร้างบ้านหลังงาม และในสวนหลังก็มีโรงเรือนสำหรับเลี้ยงนกโดยเฉพาะ โรงเรือนนั้นสะอาด เย็นสบาย และโปร่งโล่ง ด้วยความรักในสัตว์ เศรษฐีจึงเปิดให้นกต่าง ๆ มาอาศัยอยู่ได้อย่างอิสระ
ในนั้นมีนกพิราบตัวหนึ่ง รูปร่างสงบ สีขนเทาเรียบ สายตานิ่งและวางเฉย มันอาศัยอยู่ในโรงเรือนนี้มานาน และไม่เคยออกไปที่ใด แม้จะเห็นประตูห้องครัวเปิดกว้างอยู่เสมอ แต่นกพิราบก็ไม่เคยเฉียดเข้าไป
“ที่นั่นอันตราย” มันมักจะพึมพำกับตัวเองเสมอ “พ่อครัวผู้ใจร้ายนั้น ไม่เคยปล่อยให้สิ่งใดรอดจากสายตาได้เลย”
อยู่มาวันหนึ่งอีกาสีดำขลับ บินโฉบผ่านมาเหนือบ้านของเศรษฐี กลิ่นหอมของอาหารลอยมาตามลมจนมันน้ำลายสอ
“ที่นี่ต้องมีอะไรอร่อยแน่ ๆ” มันคิดในใจ แล้วค่อย ๆ บินวนลงมาสำรวจ
มันสังเกตเห็นโรงเรือนนกที่มีพิราบอยู่อย่างสบาย อีกาจึงค่อย ๆ ทักทาย “เจ้านกพิราบ ผู้สงบ ข้าเห็นว่าเจ้ามีที่อยู่ดีนัก ข้าขอร่วมพักอาศัยด้วยจะได้หรือไม่”
นกพิราบนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงเรียบ “หากเจ้าไม่ก่อปัญหา ก็ย่อมได้ เพราะที่แห่งนี้เปิดแก่ทุกผู้ที่อยู่ด้วยสันติ”
อีกายิ้มกว้างในใจ แต่แววตากลับแฝงแผนการบางอย่าง
รุ่งเช้า วันใหม่มาถึงพร้อมกลิ่นหอมของอาหารจากห้องครัว เศรษฐีกำลังจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ และพ่อครัวผู้เคร่งขรึมก็กำลังเคี่ยวปลาตุ๋นหม้อใหญ่ กลิ่นหอมนั้นทำเอาอีกานั่งไม่ติด
“กลิ่นปลานั่นมัน… วิเศษยิ่งนัก!” มันเดินวนไปมา พลางเลียปากด้วยความหิว
นกพิราบเหลือบตามองเล็กน้อย ก่อนจะพูดเบา ๆ “อย่าแม้แต่จะคิด… พ่อครัวคนนั้นไม่ใช่คนใจดี เขาเฝ้ามองอยู่เสมอ ไม่มีนกใดรอดจากเงื้อมมือเขาได้”
“ขอบใจสำหรับคำเตือนนะ… แต่ข้าไม่ใช่นกธรรมดา ข้าบินเร็ว หลบคล่อง และฉลาดกว่าใคร” อีกายักไหล่ แล้วกางปีกออก
“เจ้าจะเสียใจภายหลัง” นกพิราบพูดโดยไม่หันไปมอง
เพียงชั่วอึดใจ อีกาก็บินพุ่งตรงไปยังหน้าต่างห้องครัวที่เปิดไว้ตามเคย มันเห็นหม้อปลาตุ๋นวางอยู่บนเตา และไม่รีรอเลยที่จะโฉบลงไปตะครุบเอาปลาชิ้นงาม
แต่สิ่งที่มันไม่เห็น คือสายตาคมกริบของพ่อครัวที่จับจ้องอยู่แล้ว…

อีกาโฉบลงอย่างเร็ว เขาคิดว่าตัวเองว่องไวเกินกว่าจะถูกจับได้ มันคว้าปลาชิ้นใหญ่ได้ทันที แต่ยังไม่ทันได้บินหนี เสียงฝาตะหลิวกระทบกันก็ดังสนั่น พร้อมกับมือของพ่อครัวที่ฟาดลงอย่างแม่นยำ
“เจ้าขี้ขโมย! กล้ามากที่มาหยิบของจากครัวข้า!”
พ่อครัวผู้โหดร้ายจับอีกาได้ทันควัน และด้วยความโมโห เขาไม่เพียงแต่ยึดปลาคืนไป เขายังจัดการถอนขนอีกาทีละเส้น ๆ จนหมดทั้งตัว เหลือเพียงหนังเปลือยเปล่าที่เย็นชืด
อีกาเจ็บจนร้องลั่นแต่ก็ไม่มีใครสงสาร พ่อครัวจึงโยนมันออกไปนอกบ้านราวกับเศษขยะ
“ไปให้พ้น! แล้วอย่ากลับมาอีก!”
เมื่อเย็นวันนั้นมาถึง นกพิราบนั่งอยู่เงียบๆ ที่มุมโรงเรือน และเห็นเงาดำอันคุ้นเคยคลานกลับเข้ามา
อีกาไม่มีขนเหลือแม้แต่เส้นเดียว ดวงตาหม่นมอง พื้นดินข้างใต้เปื้อนเลือดเล็กน้อย
นกพิราบมองอย่างนิ่งงัน ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบ “ข้าบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ”
อีกาไม่ตอบอะไร ได้แต่ก้มหน้า
“ความหอมของปลานั้นอยู่เพียงครู่เดียว แต่ความเจ็บของเจ้าจะอยู่ไปอีกนาน” นกพิราบกล่าว
อีกายังคงไม่พูด ได้แต่นั่งกอดตัวเอง หวังให้ขนขึ้นใหม่ และรู้ในใจว่า เขาแลกบทเรียนนี้มาด้วยความทะนงและการไม่เชื่อฟังคำเตือนของผู้รู้
นกพิราบจึงหันหน้ากลับไป และกล่าวเป็นคำสุดท้ายก่อนปล่อยให้ความเงียบปกคลุมอีกครั้ง “ความโลภ มักปิดหู และเปิดประตูสู่ภัย… เจ้าเพิ่งได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การไม่ฟังคำเตือนของผู้มีปัญญา เพราะหลงอยู่ในความอยากของตนเอง ย่อมนำความพินาศมาสู่ตัวในที่สุด
อีกาซึ่งถูกความโลภครอบงำ เลือกที่จะไม่รับฟังคำเตือนอันเปี่ยมด้วยเมตตาจากนกพิราบผู้รู้จักระวังภัย มันคิดว่าความเร็วและความเจ้าเล่ห์ของตนจะพอหลบหลีกโทษได้ แต่สุดท้ายต้องแลกด้วยความเจ็บปวดและความอับอาย
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานนกพิราบกับอีกา (อังกฤษ: The Pigeon and the Crow) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดสัตว์ชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือเกี่ยวข้องกับสัตว์ที่มีปัญญาและคุณธรรมในการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อภิกษุกลุ่มหนึ่งในวัดเถียงกันถึงการฟังคำสอนว่า แม้มีการเตือนด้วยเจตนาดี แต่เหตุใดบางคนจึงยังเลือกทำตามความอยากของตนเอง แล้วกลับต้องประสบความลำบากภายหลัง
พระองค์จึงตรัสเล่าถึงชาติปางก่อน ที่พระองค์เสวยชาติเป็นนกพิราบผู้รอบคอบ อาศัยอยู่ในบ้านของเศรษฐี และได้เตือนอีกาผู้หลงใหลในกลิ่นปลาว่าอย่าเข้าใกล้สิ่งอันตราย แม้จะดูน่าลิ้มลองเพียงใดก็ตาม
ชาดกเรื่องนี้สื่อให้เห็นว่า “ปัญญา” และ “ความรู้เท่าทันตนเอง” คือเกราะป้องกันภัยที่สำคัญยิ่งกว่าความเฉลียวฉลาดเพียงภายนอก และผู้ที่หูหนักต่อคำเตือน ก็มักต้องเรียนรู้จากบทเรียนที่เจ็บปวดเสมอ
คติธรรม: “คำเตือนจากผู้มีปัญญา แม้ฟังดูขัดใจ แต่คือเกราะป้องกันภัยที่ดีที่สุด”