ปกนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการทำงานของวิถีเต๋าหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการทำงานของวิถีเต๋าหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง

ในโลกนี้ หลายคนพยายามยึดทุกสิ่งไว้กับตน เพื่อควบคุมและกำหนดผลลัพธ์ แต่คำสอนของเต๋าชี้ว่า การปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปตามธรรมชาติและได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยความสงบ คือหนทางที่แท้จริงของชีวิต

มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊อสะท้อนวิถีแห่งการหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งโดยไม่ยึดครอง ผ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวัดร้างบนเขา ภายใต้พายุและน้ำท่วม ทำให้ข้าได้ตระหนักถึงพลังที่เงียบสงบและทรงคุณค่าของเต๋าโดยไม่ต้องบังคับสิ่งใด กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการทำงานของวิถีเต๋าหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการทำงานของวิถีเต๋าหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการทำงานของวิถีเต๋าหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง

ค่ำคืนนั้น ข้าพเนจรขึ้นสู่ภูเขาสูง เพียงเพื่อหาที่พักพิงจากพายุใหญ่ที่กำลังโหมกระหน่ำ ฟ้าร้องคำรามดุจเสียงกลองสงคราม ลมกรรโชกแรงพัดจนกิ่งไม้หักสะบั้น ฝนตกกระหน่ำราวกับสายน้ำทั้งฟ้าหลั่งลงมาพร้อมกัน

ท่ามกลางความวุ่นวายของธรรมชาติ ข้าได้พบวัดร้างเก่าแก่ กำแพงหินแตกพัง หลังคาโบสถ์ถล่มไปครึ่งหนึ่ง น้ำฝนไหลทะลักเข้ามาตามซอกหิน

แต่ภายในยังมีพระพุทธรูปเก่า ๆ นั่งนิ่งท่ามกลางความเสื่อมสลาย แม้เปื้อนฝุ่นและรอยร้าว แต่แววตาหินนั้นกลับสงบ ราวกับไม่หวั่นไหวต่อพายุที่กำลังโหมอยู่ภายนอก

ข้าเข้าไปนั่งใต้เงาพระพุทธรูป เสียงฝนกระหน่ำเป็นฉากหลัง ข้าจุดตะเกียงดินเผาเล็ก ๆ แสงสลัวสั่นไหวไปตามแรงลมที่ลอดเข้ามา ใจข้าค่อย ๆ สงบลงแม้รอบกายยังคงเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกของพายุ

ในยามนั้น ข้ามิได้รู้สึกว่าตนกำลังหลบภัยอยู่ หากแต่เป็นผู้กำลังนั่งเฝ้าดูการเล่นแสดงอันยิ่งใหญ่ของสวรรค์และโลก พายุซัดโหม น้ำเชี่ยวไหลหลาก ล้วนเป็นเพียงฉากหนึ่งในวัฏจักรของสรรพสิ่ง ข้าพึมพำในใจ “นี่คือเสียงเต๋า มิได้เร่งเร้า มิได้โอ้อวด แต่ทรงพลังเกินกว่าจะต้านได้”

เมื่อพายุค่อย ๆ ซาลง ข้าเดินออกไปยังลานวัดที่เปียกชุ่ม น้ำฝนไหลเป็นธารเล็ก ๆ ลงตามทางลาดเขา ข้าเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เปิดออกหลังพายุ เหนือศีรษะคือดวงดาวนับหมื่นดวงระยิบระยับสว่างกว่าทุกค่ำคืน ราวกับจักรวาลได้ชำระล้างความมืดหม่นไปพร้อมสายฝน

ข้านิ่งมองภาพนั้นเนิ่นนาน พลันใจนึกถึงพระพุทธเจ้า แม้มิได้เคยพบพระองค์ แต่ในความสงบนิ่งของพระพุทธรูปเก่าแก่ที่อยู่ในวัดร้างนั้น ข้าสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่คล้ายกับหนทางแห่งเต๋า

ข้าคิดกับตนเองว่า “พระพุทธเจ้าเปรียบดังบุตรแห่งเต๋า ผู้ดำรงอยู่โดยไม่อวดอ้าง พระองค์มิได้บังคับใคร มิได้บังคับให้โลกต้องศรัทธา แต่เพราะความไม่บังคับนั้นเอง ผู้คนจึงเบ่งบานในหนทางที่พระองค์ชี้ เหมือนดวงดาวที่ส่องแสงโดยไม่ต้องเรียกร้องให้ใครมอง แต่ผู้คนก็เงยหน้าขึ้นดูมันด้วยความชื่นชม”

“เต๋าหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งโดยไม่เอ่ยอ้างตน พระพุทธเจ้าก็ชี้ทางหลุดพ้นโดยไม่เรียกร้องอำนาจใด ๆ สิ่งทั้งหลายที่อยู่รอบพระองค์จึงงอกงามตามวิถีของตนเองอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับโลกทั้งใบได้รับการบ่มเพาะโดยไม่รู้ตัว”

ยามนั้น ข้ายืนอยู่กลางวัดร้าง แต่หัวใจกลับกว้างใหญ่ดุจท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ข้ารู้ว่า ความลี้ลับของเต๋าและหนทางของพระพุทธองค์นั้น มิใช่สองสิ่ง หากเป็นหนึ่งเดียวที่สะท้อนกันและกัน

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการทำงานของวิถีเต๋าหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง 2

ข้ายังคงนั่งเฝ้าดวงดาว เสียงน้ำที่ไหลลงจากเขากลายเป็นทำนองกล่อมยามราตรี ข้าคิดถึงสิ่งที่ข้าเห็นในวันนี้ พายุอันเกรี้ยวกราดทำลายทุกสิ่ง

แต่ก็เป็นพายุที่เปิดทางให้ท้องฟ้าแจ่มกระจ่างขึ้น ดั่งเต๋า ที่ไม่เคยอวดอ้างว่ามันสร้างหรือทำลาย แต่ทุกสิ่งล้วนดำเนินไปด้วยมัน

พระพุทธเจ้าก็ฉันนั้น พระองค์มิได้ยึดถือว่าผู้ใดเป็นของพระองค์ มิได้รวบรวมศิษย์ด้วยอำนาจหรือสัญญา แต่ผู้คนก็หลั่งไหลไปหาพระองค์เอง ดุจดังสายน้ำไหลหาทะเล ไม่ใช่เพราะทะเลเรียกร้อง แต่เพราะเป็นธรรมชาติของสายน้ำเอง

ข้านิ่งคิดในใจ “แท้จริงแล้ว การไม่ยึดครองคือพลังอันยิ่งใหญ่ที่สุด เมื่อพระองค์ไม่ยึดครอง ใคร ๆ จึงยกย่อง เมื่อพระองค์ไม่โอ้อวด ใคร ๆ จึงศรัทธา”

ข้าเหลือบตามองพระพุทธรูปเก่าที่แตกหักครึ่งองค์ แม้มันถูกกาลเวลากัดกร่อน แต่รัศมีสงบที่แผ่ออกมา กลับทำให้ข้ารู้สึกถึงความเต็มเปี่ยมประหนึ่งโลกทั้งใบได้รับการโอบอุ้มอยู่ในความเงียบงามนั้น

รุ่งอรุณมาถึง แสงอาทิตย์แรกสาดส่องเหนือหมู่เมฆที่ยังคลอเคลียยอดเขา วัดร้างที่ชุ่มน้ำเหมือนเพิ่งได้รับชีวิตใหม่ ข้าเดินรอบพระวิหารที่แตกร้าว เห็นต้นหญ้าเล็ก ๆ โผล่ขึ้นจากซอกหิน เหมือนกำลังประกาศว่าชีวิตยังคงดำเนินต่อไป

ในห้วงขณะนั้น ข้าเข้าใจชัดเจนว่า สิ่งที่ข้าเห็นในพระพุทธองค์คือภาพสะท้อนของเต๋า เต๋าให้กำเนิดสรรพสิ่ง บ่มเพาะจนงอกงาม แต่ไม่เคยอ้างว่าเป็นเจ้าของ พระพุทธเจ้าก็สอนโลกโดยไม่บังคับ บ่มเพาะโดยไม่โอ้อวด สิ่งนี้เอง คือ “การทำงานอันลี้ลับของเต๋า” ที่ดำเนินไปเงียบ ๆ แต่แผ่ซ่านครอบคลุมทุกชีวิต

ข้าเดินออกจากวัดร้างไปตามทางเขาที่ชื้นแฉะ หันกลับไปมองพระพุทธรูปเก่าอีกครั้ง พลันเข้าใจว่า แม้กาลเวลาจะทำให้รูปเคารพเสื่อมสลาย แต่แก่นแท้ของพระพุทธองค์และของเต๋านั้น หาได้เสื่อมไปด้วยไม่ หากยังคงโอบอุ้มสรรพสิ่งอยู่ตราบนานเท่านาน

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการทำงานของวิถีเต๋าหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การไม่ยึดครอง ไม่โอ้อวด และไม่บังคับคือพลังอันแท้จริง ผู้ที่สามารถวางใจเป็นกลาง ไม่เลือกข้าง ไม่บังคับผู้อื่น กลับสามารถสร้างอิทธิพลและความเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแสดงตน ผู้ที่ดำเนินชีวิตเช่นนี้จะได้รับการยกย่องและศรัทธาโดยธรรมชาติ ดั่งสรรพสิ่งที่เติบโตอย่างสมบูรณ์ด้วยการหล่อเลี้ยงของเต๋าเอง นี่คือแก่นของเรื่องวิถีเต๋าหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง

ในนิทาน เล่าจื๊อได้เห็นพระพุทธรูปเก่าในวัดร้างท่ามกลางพายุและความเวิ้งว้างของธรรมชาติ เขาเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนบุตรแห่งเต๋า พระองค์มิได้ถือครองหรือโอ้อวด แต่ผู้คนกลับได้รับความสมบูรณ์และความร่มเย็นจากพระองค์ เหมือนสรรพสิ่งที่เติบโตตามธรรมชาติจากการหล่อเลี้ยงของเต๋า นี่คือการทำงานอันแฝงเร้นที่ไม่ต้องบังคับใคร แต่กลับเปลี่ยนโลกได้อย่างเงียบงาม

อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสอนชีวิตผ่านปรัชญาวิถีเต๋าในรูปแบบนิทานอ่านง่าย ๆ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการทำงานของวิถีเต๋าหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง (อังกฤษ: The Operation of The Dao in Nourishing Things) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 51 ซึ่งกล่าวถึงการ “เต๋าหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งโดยไม่ยึดครอง” อันเป็นแก่นแท้ของวิถีเต๋า การดำรงอยู่โดยไม่โอ้อวดและไม่บังคับ คือสภาพสูงสุดของชีวิต เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายเมื่อได้รับการหล่อเลี้ยงอย่างเป็นธรรมชาติ จะเติบโตและสมบูรณ์ตามวิถีของตนเองโดยไม่ต้องมีผู้บังคับหรือครอบงำ เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:

การทำงานของเต๋าในการหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง

สรรพสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นจากเต๋า และได้รับการหล่อเลี้ยงจากพลังที่ไหลออกมาของมัน
แต่ละสิ่งได้รับรูปร่างตามธรรมชาติของตนเอง และสมบูรณ์ตามเงื่อนไขและสถานการณ์ที่เหมาะสม
ด้วยเหตุนี้ สรรพสิ่งทั้งมวลจึงให้เกียรติแก่เต๋า และยกย่องพลังแห่งการหล่อเลี้ยงของมัน

การที่สิ่งทั้งหลายยกย่องเต๋า ไม่ใช่เพราะใครกำหนดบังคับไว้ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ

เต๋าจึงเป็นผู้ให้กำเนิดสิ่งต่าง ๆ หล่อเลี้ยงมัน ทำให้เติบโต บ่มเพาะดูแลจนสมบูรณ์
ทำให้สิ่งเหล่านั้นสุกงอมถึงเวลา ค้ำชูให้คงอยู่ และแผ่ปกคลุมไว้ทั้งหมด

เต๋าสร้างสรรพสิ่งโดยไม่อ้างความเป็นเจ้าของ
ดูแลกระบวนการทั้งหมดโดยไม่โอ้อวดความสามารถ
พาสรรพสิ่งสู่ความสมบูรณ์โดยไม่เข้าไปควบคุมครอบงำ

นี่แหละ คือสิ่งที่เรียกว่า “การทำงานอันลี้ลับของเต๋า”

โดยเล่าจื๊อสอนว่า ผู้ที่เข้าใจหลักการนี้ย่อมดำรงอยู่ด้วยความสงบและมั่นคง ไม่หลงไปกับความต้องการหรืออำนาจภายนอก รู้จักการวางใจและปล่อยวาง สามารถหล่อเลี้ยงผู้อื่นด้วยความสงบและความเต็มใจโดยไม่เรียกร้องสิ่งตอบแทน ทำให้ผู้คนและสรรพสิ่งเติบโตอย่างสมบูรณ์และกลมกลืนกับจักรวาล

นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว โดยเปรียบพระพุทธองค์กับการทำงานของเต๋า แม้มิได้บังคับหรือโอ้อวด แต่ผู้คนกลับได้รับความร่มเย็นและความสมบูรณ์อย่างเงียบงัน และนี่คือหัวใจของ “การหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งโดยไม่ยึดครอง” ที่เล่าจื๊ออยากให้ผู้คนได้ตระหนักและเรียนรู้

คติธรรม: คุณธรรมสูงสุดเปรียบเหมือนน้ำ ที่หล่อเลี้ยงสรรพสิ่งโดยไม่พยายามครอบงำหรือเรียกร้องสิทธิ์ใด ๆ

อ่านนิทานเสร็จ ลองดูไซรับหญ้าหวานไว้เป็นตัวเลือก อร่อย ไม่มีน้ำตาล กินแทนน้ำหวาน ดีต่อสุขภาพอีก ชอบคอนเท้นเราก็อุดหนุนกันได้น้า!