ในโลกนี้ ความรักและความเข้าใจมักเดินเคียงกัน แต่เมื่อใดที่ใจถูกเงาของความน้อยใจบดบัง ความรักอาจแปรเปลี่ยนเป็นความแค้นได้โดยไม่รู้ตัว และเมื่อความแค้นฝังลึกข้ามภพข้ามชาติ สิ่งที่ถูกมองว่าเล็กน้อยในวันหนึ่ง อาจกลายเป็นโศกนาฏกรรมในอีกวันหนึ่ง
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงช้างผู้มีศักดิ์สง่าสูงส่ง งดงามทั้งกายและใจ แต่กลับต้องเผชิญกับผลแห่งความเข้าใจผิดที่ย้อนมาจากอดีตชาติ เรื่องนี้จะพาเราไปรู้จักพลังของการให้อภัย ที่ยิ่งใหญ่กว่าพละกำลังหรือการล้างแค้นใด ๆ ในโลกนี้ กับนิทานชาดกเรื่องช้างผู้สูงศักดิ์

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องช้างผู้สูงศักดิ์
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าหิมพานต์อันเงียบสงบ มีช้างเผือกผู้หนึ่งครองตำแหน่งราชาแห่งฝูงช้าง เขามีนามว่าจุลวลาหะ แตกต่างจากช้างทั้งหลายด้วยกายสีขาวนวลบริสุทธิ์ และมีงาทั้งหก งาแต่ละข้างแยกเป็นสามแฉก สมบูรณ์ดั่งงานแกะสลักจากสวรรค์
เขามีมเหสีสองนาง นางหนึ่งมีใจอ่อนโยน ชอบอยู่ใกล้ดอกไม้ อีกนางหนึ่งเข้มแข็งและเงียบขรึม
วันหนึ่ง ขณะราชาช้างกำลังเดินเล่นในป่ากับมเหสีทั้งสอง เขาใช้งวงผลักต้นไม้ใหญ่เพื่อเก็บผลไม้ตามธรรมเนียม แต่บังเอิญแรงที่ใช้มากไป ทำให้กิ่งไม้กระเทือน
กลีบดอกไม้สีชมพูโปรยลงมาระยิบระยับ เหนือหัวของมเหสีองค์แรก ขณะเดียวกัน มดแดงซึ่งอยู่บนกิ่งไม้ตกลงมาบนหลังของมเหสีองค์ที่สอง
นางสะดุ้งและรีบปัดตัวมดออก ก่อนจะหันมามองสามีด้วยแววตาสั่นไหว “เหตุใดดอกไม้จึงโปรยให้นางอื่น แต่มดแดงกลับตกใส่ข้า”
ราชาช้างหัวเราะเบาๆ โดยไม่เอะใจ “โอ มเหสีเอ๋ย… เรื่องนี้เป็นเพียงเหตุบังเอิญจากธรรมชาติ”
แต่นางมเหสีองค์ที่สองไม่คิดเช่นนั้น หัวใจของนางเต็มไปด้วยความน้อยใจ และในค่ำคืนนั้น นางได้จากไปโดยไม่กล่าวลา
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน นางเมเหสีช้างที่จากไป ได้ตายลงและถือกำเนิดใหม่ในโลกมนุษย์ เป็นสตรีผู้สูงศักดิ์ และเมื่อวัยเจริญขึ้น นางก็กลายเป็นราชินีแห่งเมืองใหญ่ นางงามสง่า ฉลาด และเป็นที่รักของพระราชา
แต่ในใจลึก ๆ ของนาง ยังไม่ลืมภาพวันนั้น วันที่กลีบดอกไม้โปรยลงบนผู้อื่น และมดแดงกัดเจ็บร้าวในใจของตน
วันหนึ่ง ขณะที่ราชาเอ่ยถามด้วยความเอ็นดู “เจ้าปรารถนาสิ่งใดในชีวิตที่ข้ายังไม่เคยมอบให้”
นางตอบเสียงเรียบแต่นิ่ง “ข้าอยากได้งาช้างหกแฉก งาดั่งหิมะ งาที่ไม่มีผู้ใดมีในโลก”
พระราชาชะงักไปชั่วครู่ แล้วรับสั่งให้ออกตามหาช้างวิเศษที่มีลักษณะเช่นนั้น
ไม่ช้านัก นักล่าสัตว์ผู้ชำนาญทางในป่าหิมพานต์ได้รับหน้าที่ เขาเดินทางลึกเข้าไปในผืนป่า จนกระทั่งได้พบกับราชาช้าง… ผู้ยังคงปกครองฝูงช้างด้วยเมตตา สง่างาม ไม่เปลี่ยนแปลง
นักล่ารู้ทันทีว่านี่คือเป้าหมาย เขาจึงเตรียมอาวุธอย่างเงียบเชียบ และซุ่มอยู่ในเงาไม้ รอเวลาเผด็จศึก

แสงแดดอ่อนในยามเช้าสาดผ่านยอดไม้ นักล่าซุ่มอยู่เงียบ ๆ เบื้องหลังพุ่มไม้ มือกำหอกแน่น เขารู้ดีว่าเพียงการโจมตีครั้งเดียวอาจหมายถึงความสำเร็จหรือความตาย
เมื่อพระช้างเจ้าจุลวลาหะก้าวเข้ามาในแนวสายตา นักล่าพุ่งหอกออกไปทันที หอกพุ่งทะลุลำตัวช้างเจ้าด้วยแรงมหาศาล ร่างอันสง่างามทรุดลงเล็กน้อย เลือดสีแดงฉานหยดลงบนผืนดิน
แต่ราชาช้างยังคงยืนหยัด ดวงตาแน่วแน่แม้เจ็บปวด “เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้”
นักล่ามองร่างช้างผู้ไม่ยอมล้มอย่างตกตะลึง ในดวงตาของเขาไม่ได้เห็นความโกรธ หากเป็นความสงบ อดทน และสง่างามเกินสัตว์ทั้งปวง
นักล่าจึงเอ่ยเสียงสั่น “ข้าทำไปตามรับสั่งจากพระราชินี… นางอยากได้งาของท่าน งาหกแฉกที่งามดั่งหิมะ”
เมื่อพระช้างเจ้าฟังจบ ดวงตาของพระองค์นิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะหลุบลงต่ำด้วยความเข้าใจ “นาง… กลับมาอีกครั้ง”
พระองค์เงยหน้าขึ้น เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “ข้าขอมอบงาเหล่านี้ให้… ไม่ใช่เพราะความพ่ายแพ้ แต่เพื่อยุติความแค้นที่ไม่ควรมีต่อไป”
จากนั้น ราชาช้างก็ใช้ลำตัวเบียดงาทั้งหกให้หลุดออกจากโคนอย่างสงบ แม้เลือดไหลนองพื้น แต่พระองค์มิได้แสดงความทุกข์
นักล่ายืนอึ้ง ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้ เขารับงาไว้ด้วยใจหนักอึ้งที่สุดในชีวิต
เมื่อกลับถึงวัง นักล่าทูลมอบงาช้างทั้งหกให้นางราชินี พร้อมเล่าเรื่องราวทั้งหมด
“ราชาช้างรู้ว่าท่านคือมเหสีของเขาในชาติปางก่อน… และยังคงให้อภัยแม้ท่านคิดล้างแค้น”
คำพูดนั้นแทงทะลุใจของราชินี ความแค้นที่ฝังแน่นมาหลายภพชาติ พังทลายลงในชั่วพริบตา
นางทรุดตัวลงพร้อมกับงาช้างในอ้อมแขน น้ำตาไหลรินราวกับชำระใจ “ข้าเข้าใจแล้ว… สิ่งที่ข้าเรียกว่าความยุติธรรม แท้จริงคือความหลงผิด”
ไม่นานนัก นางก็ตายลงด้วยความเสียใจอย่างสุดหัวใจ
และในกาลต่อมา ผู้คนเล่าขานถึงช้างผู้สูงศักดิ์ ผู้ไม่เพียงมีงางามที่สุดในโลก แต่ยังมีจิตใจสูงส่ง ยิ่งกว่าผู้ใดในป่าและในเมือง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การให้อภัยคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่าการล้างแค้น เพราะผู้ที่สามารถให้อภัยได้อย่างแท้จริง ย่อมยืนอยู่เหนือความโกรธ ความเจ็บ และความหลงในอดีต การยึดติดเพียงเพราะความเข้าใจผิด อาจนำความพินาศมาสู่ทั้งตนเองและผู้อื่น
ราชาช้างผู้มีงาหกแฉก มิได้ตอบโต้ด้วยโทสะ แม้รู้ว่าคนที่ต้องการเอาชีวิตตนเคยเป็นภรรยาในอดีตชาติ แต่กลับยอมมอบสิ่งล้ำค่าที่สุดเพื่อยุติความแค้น และเลือกตายด้วยศักดิ์ศรีแห่งเมตตา ท้ายที่สุด ความอ่อนโยนของพระองค์ ได้ปลุกสติให้ผู้ที่หลงผิดตื่นขึ้น แม้จะสายเกินแก้ แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า ความเมตตาไม่เคยสูญเปล่า แม้ในวาระสุดท้ายของชีวิต
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดสัตว์ชาดก (อังกฤษ: The Noble Elephant) หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งช้าง ซึ่งเป็นสัตว์ที่มักปรากฏในชาดกเพื่อสื่อถึงความหนักแน่น เมตตา และความเสียสละ อันเป็นคุณลักษณะของพระโพธิสัตว์ในช่วงก่อนตรัสรู้
ชาดกเรื่องนี้มีลักษณะคล้ายกับจุลหังสชาดก หรือบางฉบับเชื่อมโยงกับตำนานของช้างเอราวัณ ในคติอินเดียและพระพุทธศาสนา แต่โครงเรื่องที่นำเสนอในนิทานนี้เป็นแบบอุปมาอุปไมยเพื่อสื่อธรรมะเรื่องการให้อภัย และการปล่อยวางจากความแค้น
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งยังยึดติดในความเจ็บช้ำจากเหตุการณ์ในอดีต ไม่อาจให้อภัยผู้อื่นได้ พระองค์จึงตรัสเล่าถึงอดีตชาติของพระองค์เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นช้างเผือกผู้สูงศักดิ์ แม้ถูกทำร้ายโดยผู้เคยใกล้ชิด ก็ยังสามารถให้อภัยและยอมสละชีวิตเพื่อยุติความแค้น
ชาดกเรื่องนี้จึงสอนว่าการให้อภัยไม่ใช่การยอมแพ้ แต่คือการยืนอยู่เหนือความเจ็บปวด และผู้ที่ปล่อยวางได้ย่อมเข้าถึงความสงบอันแท้จริง
คติธรรม: “การให้อภัย ไม่ได้ลดคุณค่าของผู้ให้ แต่ยกจิตให้สูงกว่าความเจ็บแค้น”