ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ผู้คนมากมายต่างแสวงหาความเจริญรุ่งเรือง บางคนใช้สติปัญญาและความดีนำพาชีวิต บางคนเลือกใช้เล่ห์กลและอำนาจเพื่อยึดครองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยหวังจะควบคุมโชคชะตา
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงพญานาคผู้มีฤทธิ์ กับกษัตริย์สองพระองค์ องค์หนึ่งเปี่ยมเมตตา อีกองค์เต็มไปด้วยความโลภ เมื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นที่ต้องการของทั้งสอง ความจริงจึงค่อย ๆ เปิดเผย ว่า “ธรรม” นั้นเลือกอยู่กับผู้ใด กับนิทานชาดกเรื่องพญานาคกับราชาสองแผ่นดิน

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องพญานาคกับราชาสองแผ่นดิน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแคว้นอยู่ติดกันสองแคว้น แคว้นหนึ่งปกครองโดยพระราชาผู้ใจดี นามว่าพระเจ้าธรรมนาถ ส่วนอีกแคว้นหนึ่งอยู่ใต้การปกครองของพระราชาผู้โหดร้ายและโลภมาก ชื่อว่าพระเจ้าทุชนาธ
แผ่นดินของพระเจ้าธรรมนาถมีแต่ความร่มเย็น พืชผลอุดมสมบูรณ์ ผู้คนอยู่ดีกินดี ไม่มีข้าศึกกล้ำกราย หลายคนไม่รู้ว่าเหตุแห่งความเจริญนั้น นอกจากธรรมของพระราชาแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นดินใกล้พระนคร
สิ่งนั้นคือพญานาคผู้มีฤทธิ์ ซึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำลึกใต้สระหลวง เขานามว่านาคสิริ เป็นผู้มีศีล มีธรรม และมีจิตใจเมตตาต่อมนุษย์ที่ทำดี
ทุกค่ำคืน พญานาคจะลอยขึ้นมาเงียบ ๆ เหนือสระน้ำ ฟังบทสวดของพระราชา และโปรยพลังอำนาจเพื่อคุ้มครองผืนแผ่นดินที่ตั้งอยู่บนธรรม
แต่ในอีกฝั่งหนึ่ง แผ่นดินของพระเจ้าทุชนาธกลับเต็มไปด้วยภัยแล้ง โรคระบาด และการกดขี่จากอำนาจ
ผู้คนจึงเริ่มลอบหนีจากเมืองของพระเจ้าทุชนาธ ไปตั้งรกรากอยู่ในแคว้นของพระเจ้าธรรมนาถมากขึ้นทุกวัน
เมื่อพระเจ้าทุชนาธทรงทราบว่าผู้คนย้ายออกจากแคว้นของพระองค์ไปยังแดนแห่งความร่มเย็น ก็ทรงเดือดดาลยิ่งนัก
“เหตุใดเราจึงสูญเสียประชาราษฎร์ ทั้งที่เราก็เป็นราชาเหมือนกัน?”
เสนาบดีผู้หนึ่งกราบทูลเบา ๆ ว่า
“พระเจ้าธรรมนาถทรงธรรม และยังมีพญานาคผู้ศักดิ์สิทธิ์อาศัยอยู่ใต้สระหลวง แผ่นดินของพระองค์จึงรุ่งเรือง”
พระเจ้าทุชนาธนิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นจึงกล่าวอย่างแน่วแน่
“หากพญานาคคือผู้ให้ความเจริญ ข้าจะต้องได้มันมาไว้ใต้แผ่นดินของข้า”
แล้วพระองค์ก็ส่งคนไปจ้างนักเลี้ยงงู ผู้ช่ำชองในการสะกดสัตว์มีฤทธิ์ โดยหวังว่าจะลอบเข้าไปจับพญานาคจากใต้สระน้ำของพระเจ้าธรรมนาถ
แต่พญานาคสิริผู้มากด้วยญาณ รู้ทันเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่แรก เขามองเห็นภาพทั้งหมดขณะนั่งสมาธิใต้น้ำ และกล่าวกับตนเองด้วยแววตาสงบ
“ผู้มีโลภะย่อมพยายามได้ทุกสิ่ง แม้จะด้วยวิธีอุบายต่ำ ๆ… แต่เราจะไม่ปล่อยให้ความโลภทำลายบ้านของธรรม”
พญานาคจึงลอยตัวขึ้นจากน้ำในยามค่ำ และไปหาพรานป่าผู้หนึ่ง ซึ่งเคยได้รับความเมตตาจากเขาเมื่อปีก่อน

ในยามค่ำคืนใต้แสงจันทร์สลัว พญานาคสิริจำแลงกายเป็นชายชราในชุดคลุมเขียวทอง และเดินทางไปยังชายป่าที่เงียบสงบ
ที่นั่นมีพรานป่าชื่อว่าสุภาชัย ผู้เคยหลงทางในป่าเมื่อปีก่อน และได้รับการช่วยเหลือจากพญานาคโดยไม่รู้ว่าเขาคือใคร
เมื่อเห็นชายชราเดินเข้ามาอย่างเงียบงัน สุภาชัยก็ยกมือไหว้โดยสัญชาตญาณ “ท่านผู้เฒ่า ท่านต้องการสิ่งใดหรือ”
พญานาคเอ่ยเสียงนิ่ง “มีคนหนึ่งจะมาทำลายสิ่งที่เจ้าก็เคยได้รับอานิสงส์จากมัน… เขาเป็นนักเลี้ยงงูจากแดนทุชนาธ หากเขาทำสำเร็จ เมืองแห่งธรรมจะเสื่อมสูญ”
สุภาชัยนิ่งไปชั่วครู่ ดวงตาฉายแววแน่วแน่
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอใช้ธนูของข้า ปกป้องแผ่นดินที่ให้ที่พักแก่ข้าและครอบครัว”
ในคืนเดียวกันนั้นเอง เมื่อชายแปลกหน้าในชุดนักเลี้ยงงูแอบย่องเข้าใกล้สระหลวง หวังจะทำพิธีลวงพญานาคออกมา
เสียงธนูแหวกอากาศก็พุ่งไปปักกลางอกของเขาอย่างแม่นยำ
นักเลี้ยงงูล้มลงทันที โดยไม่มีใครเห็นหน้า และไม่มีใครรู้ชื่อ
เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างสงบลง พญานาคสิริได้กลับมานั่งใต้สระอย่างเงียบงันอีกครั้ง
ครั้นรุ่งเช้า เขาได้แปลงร่างเป็นบุรุษในชุดขาว และเดินเข้าเฝ้าพระเจ้าธรรมนาถ
พระราชาทอดพระเนตรเห็นชายผู้นั้นก็ทรงยิ้ม “เจ้ามาแต่เช้า มีสิ่งใดหรือ”
ชายผู้นั้นย่อกายและกล่าวด้วยเสียงเบา “แผ่นดินนี้ยังมีผู้โลภหมายเอาพลังไปเป็นของตน แต่ข้ามิเคยหวั่นใจ เพราะพระองค์เป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม”
พระราชาทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเรียบง่าย “ความดีที่มั่นคง ย่อมไม่จำเป็นต้องปกป้องด้วยกำแพง หากมีใจแห่งธรรม ก็จะมีผู้ช่วยเหลือ แม้เราไม่ร้องขอ”
ชายผู้นั้นยิ้มเล็กน้อย แล้วหายตัวไปในแสงแดดอ่อน ๆ ของรุ่งอรุณ
และจากวันนั้น พญานาคก็ยังคงอยู่ในใต้สระน้ำแห่งเดิม เพื่อปกป้องเมืองที่สร้างบนพื้นฐานของความเมตตาและธรรมะ
ส่วนพระเจ้าทุชนาธ แม้จะไม่อาจได้ตัวพญานาค แต่การพ่ายแพ้ในความเงียบครั้งนั้น ทำให้เขาหยุดการกดขี่ประชาชน และเริ่มหันมาฟังเสียงของคนที่อยู่ใต้เท้าตนเองมากขึ้น

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… อำนาจที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่การครอบครองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่คือการตั้งอยู่ในธรรมและเมตตาอย่างมั่นคง
พญานาคผู้เปี่ยมฤทธิ์เลือกอยู่ใต้การปกครองของพระราชาผู้มีเมตตา ไม่ใช่เพราะอาณาจักรมั่งคั่งหรือมีอำนาจมากกว่า แต่เพราะบัลลังก์นั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความดี ส่วนพระราชาผู้โลภ แม้พยายามยื้อแย่งด้วยอุบาย ก็ไม่อาจได้มาซึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะใจยังไม่สะอาดพอจะรับมันไว้ ธรรมะไม่ใช่สิ่งที่แสวงหาด้วยกลอุบาย แต่คือสิ่งที่ปรากฏขึ้นเมื่อใจสงบ และยืนหยัดในคุณธรรมอย่างแท้จริง
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
พญานาคกับราชาสองแผ่นดิน (อังกฤษ: The Naga Serpent) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดสัตว์ชาดก ซึ่งกล่าวถึงชาติปางก่อนของพระโพธิสัตว์ที่มีความเกี่ยวข้องกับพญานาค สัตว์กึ่งเทพในตำนาน ที่มีบทบาทในการพิทักษ์ธรรมและแสดงคุณธรรมผ่านการกระทำ
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งตั้งคำถามว่า เหตุใดบางแผ่นดินจึงเจริญรุ่งเรือง แม้ไม่มีทรัพยากรมากนัก ในขณะที่บางแคว้นแม้มั่งคั่ง กลับเสื่อมโทรมลง
พระองค์จึงตรัสเล่าถึงอดีตชาติ ที่พระองค์เคยเสวยชาติเป็นพญานาคผู้พิทักษ์แผ่นดินของกษัตริย์ผู้เปี่ยมธรรม โดยมิได้ให้ความอุปถัมภ์แก่ผู้ที่หวังใช้ตนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
ชาดกเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าความเจริญมั่นคงของแผ่นดิน ไม่ได้มาจากอำนาจหรือทรัพย์สมบัติ หากแต่มาจากการปกครองด้วยธรรม และการมีผู้อุปถัมภ์ที่มีคุณธรรมจริง ไม่ใช่เพียงผู้ที่แสวงหาอำนาจผ่านสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก
คติธรรม: “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ย่อมไม่สถิตอยู่กับผู้โลภ แต่จะอยู่กับผู้ที่ตั้งอยู่ในธรรมโดยไม่เรียกร้อง”