ปกนิทานชาดกเรื่องราชานาค

นิทานชาดกเรื่องราชานาค

ในโลกที่เต็มไปด้วยความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ วรรณะ หรืออำนาจ ผู้คนมักตั้งกำแพงระหว่างกันโดยไม่รู้ตัว แต่ในสายตาของผู้ที่มองด้วยใจแห่งธรรม ความแตกต่างเหล่านั้นกลับเลือนหาย เหลือเพียงความเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมเกิด ร่วมดับในวัฏสงสารเดียวกัน

มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงมิตรภาพระหว่างมนุษย์ผู้ครองบัลลังก์ กับพญานาคผู้มีฤทธิ์ล้ำ ทว่าทั้งสองกลับเชื่อมโยงกันด้วยสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา คือความศรัทธา ความเมตตา และความจริงใจที่ไร้เงื่อนไข กับนิทานชาดกเรื่องราชานาค

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องราชานาค

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องราชานาค

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในแคว้นอันอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง พระเจ้าผู้อาวุโสได้ครองราชย์มายาวนานจนแคว้นร่มเย็นเป็นสุข วันหนึ่ง เมื่อพระโอรสชื่อว่าเจ้าชายโคตมะ เติบโตเป็นชายหนุ่มเปี่ยมสติปัญญา พระราชาจึงทรงสละราชสมบัติให้แก่โอรส แล้วออกบวชเป็นฤๅษีในป่าลึก ริมแม่น้ำสายหนึ่ง

แม่น้ำนั้นมีชื่อว่านาคานที ด้วยเหตุว่าใต้สายน้ำลึกมีราชาผู้ปกครองเผ่านาค อาศัยอยู่มาเนิ่นนาน ราชานาคองค์นี้มีนามว่าวิมลนาคะ รูปร่างยิ่งใหญ่เกล็ดสีทองเขียววาววับ ดวงตาเปล่งแสงแต่เปี่ยมเมตตา

ฤๅษีผู้อยู่อย่างเรียบง่ายในอาศรมริมฝั่ง ได้สวดภาวนาและปฏิบัติธรรมอย่างสงบทุกเช้าเย็น จนกระแสกุศลแรงกล้าแผ่ซ่านลงสู่แม่น้ำ

ราชาวิมลนาคะซึ่งมีจิตใฝ่ในธรรมอยู่แล้ว จึงออกจากวังใต้น้ำ ลอยตัวขึ้นเหนือผิวน้ำ เพื่อเฝ้าสังเกตดูฤๅษีผู้นั้นอยู่หลายวัน

กระทั่งวันหนึ่ง ราชานาคตัดสินใจแปลงร่างเป็นมนุษย์นุ่งขาว สวมผ้าแพรสีมรกต และเดินขึ้นจากแม่น้ำมาเยือนอาศรมด้วยความเคารพ

“ฤๅษีผู้เคร่งครัด ข้าขอคารวะในธรรมของท่าน”

ฤๅษียิ้มละไม “เจ้ามีแววตาของผู้ใฝ่ในความสงบ เจ้าคือผู้ใดกันเล่า”

ราชานาคย่อกาย “ข้าคือวิมลนาคะ ผู้อาศัยอยู่ใต้สายน้ำสายนี้มาช้านาน”

จากวันนั้น ทั้งสองกลายเป็นสหายธรรม พูดคุย แลกเปลี่ยนเรื่องธรรมะและการปฏิบัติไม่ขาดเลยสักวัน

ในวันหนึ่งซึ่งอากาศแจ่มใส พระราชาโคตมะผู้ครองเมือง ได้ทรงคิดถึงพระบิดา จึงเสด็จออกจากราชวังโดยไม่มีราชขบวนใหญ่ มีเพียงผู้นำทางสองคนเท่านั้น

เมื่อเสด็จถึงอาศรม ก็ทอดพระเนตรเห็นพระบิดากำลังนั่งภาวนาใต้ต้นไม้ และใกล้กันนั้นมีชายผู้หนึ่งแต่งกายงดงาม นั่งพับเพียบสนทนาอย่างสงบ

พระราชาโคตมะทรงเข้าไปนมัสการพระบิดา แล้วหันไปถาม “บุรุษผู้นี้คือผู้ใดหรือท่านฤๅษี”

ฤๅษียิ้ม “นี่คือวิมลนาคะ สหายแห่งธรรมของเรา เขาไม่ใช่มนุษย์เช่นเรา แต่เป็นราชานาคผู้เปี่ยมเมตตา”

พระราชาทรงประหลาดใจแต่ไม่หวั่นไหว ทรงก้มศีรษะให้ราชานาคอย่างให้เกียรติ

ราชานาคจึงยิ้มและพูดด้วยเสียงเรียบแต่หนักแน่น

“ข้าขอคารวะพระองค์… ผู้เป็นราชาผู้มีใจประนีประนอมต่อทุกสรรพชีวิต”

จากนั้นทั้งสามก็สนทนากันหลายชั่วยาม เรื่องธรรมะ เรื่องชีวิต และการปกครองโดยไม่เบียดเบียน

หลังจากวันนั้น พระราชาโคตมะก็ทรงเสด็จมาเยี่ยมเยือนอาศรมอยู่เนือง ๆ และได้ผูกไมตรีกับราชานาควิมลนาคะ อย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าคำว่า “มิตร” ทั่วไป

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องราชานาค 2

ไม่นานนัก ข่าวลือเกี่ยวกับราชานาคผู้มีอัญมณีบนเศียร ก็แพร่กระจายออกไปนอกป่า พวกนักหาทรัพย์ผู้โลภหลงได้ยินเรื่องราวเหล่านั้นเข้า ต่างหมายปองแก้ววิเศษที่ว่ากันว่าส่องสว่างแม้ในยามราตรี และสามารถบันดาลความร่ำรวยให้ผู้ครอบครอง

กลุ่มชายฉกรรจ์แอบเข้าไปในป่าลึก ซุ่มดูราชานาคซึ่งแปลงกายเป็นมนุษย์ มานั่งสนทนาธรรมกับฤๅษีดังเดิม พวกเขารอจนค่ำ แล้วลอบติดตามราชานาคที่กลับลงสู่แม่น้ำ

คืนถัดมา ราชานาควิมลนาคะเผลอลอยตัวขึ้นจากผิวน้ำตามปกติเพื่อเฝ้ามองอาศรม แต่ทันใดนั้น ตาข่ายเหล็กถูกเหวี่ยงคลุมร่างของเขา พร้อมเสียงโห่ร้องของชายทั้งห้า

“ได้มันแล้ว! ชิงเอาแก้วจากหัวมันมาเร็วเข้า!”

ราชานาคร้องคำราม พยายามดิ้นรน แต่พลังเวทย์ของเขาอ่อนแรงจากการแปลงกายต่อเนื่องหลายวัน ร่างของเขาเริ่มถูกลากขึ้นฝั่ง

แต่ในจังหวะนั้นเอง แสงจากคบเพลิงดวงหนึ่งก็ปรากฏจากแนวป่า พร้อมเสียงของบุรุษผู้หนึ่ง

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

คือพระราชาโคตมะ ซึ่งเสด็จมาที่อาศรมในยามค่ำ และบังเอิญพบเหตุการณ์ทั้งหมด พระองค์ทรงคว้าดาบจากองครักษ์และพุ่งเข้าหาเหล่าคนร้าย

การต่อสู้อย่างฉับพลันเกิดขึ้นกลางแสงเพลิงและเสียงของฝูงนกที่บินแตกตื่น กลุ่มชายฉกรรจ์พ่ายแพ้และหลบหนีไปในที่สุด

ราชานาควิมลนาคะยังคงนอนแน่นิ่ง หายใจแผ่ว ดวงแก้วบนเศียรเปื้อนโคลน แต่ยังเปล่งแสงอ่อน ๆ

พระราชาโคตมะทรงย่อตัวลงข้างร่างของราชานาค เอื้อมพระหัตถ์ประคองศีรษะของมิตรผู้ภักดี

“เจ้าปลอดภัยแล้ว มิตรสหายของข้า”

ราชานาคลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ แล้วพนมมืออย่างอ่อนแรง

“ข้า… ไม่มีสิ่งใดตอบแทนได้เลย นอกจากชีวิตนี้…”

พระราชาส่ายหน้า “มิตรภาพที่แท้ ไม่ใช่เรื่องของหนี้บุญคุณ แต่คือหัวใจที่ยืนหยัดข้างกันในยามลำบาก”

ราชานาคยิ้มบาง ๆ และกล่าวถ้อยคำที่กลายเป็นอมตะในหมู่เทพและมนุษย์

“ข้าขอถวายแก้ววิเศษนี้ให้แก่พระองค์ หาใช่เพื่อทรัพย์ แต่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความสัตย์ที่อยู่เหนือเผ่าพันธุ์”

จากนั้นไม่นาน ราชานาคฟื้นตัวด้วยเวทมนตร์ของธรรมชาติ ส่วนพระราชาโคตมะทรงกลับเมืองไปด้วยหัวใจที่หนักแน่นยิ่งกว่าเดิม ด้วยมิตรภาพที่ไม่อาจลืม

แม่น้ำนาคานทียังคงไหลไม่สิ้น และเรื่องเล่านี้ก็ถูกกล่าวขานในหมู่นักบวชป่า ว่าครั้งหนึ่ง มนุษย์กับนาค เคยแลกเปลี่ยนไมตรีเหนือกว่าทรัพย์ทั้งปวง

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องราชานาค 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… มิตรภาพแท้ไม่ได้วัดกันด้วยเผ่าพันธุ์ วรรณะ หรืออำนาจ หากแต่วัดกันด้วยใจที่เต็มไปด้วยความจริงใจและการเสียสละต่อกันในยามวิกฤต ผู้ที่มีศักดิ์สูง หากยังรู้จักก้มลงช่วยเหลือผู้อื่นด้วยเมตตา ย่อมเป็นผู้สูงศักดิ์ทั้งในชื่อและในใจของผู้คน

พระราชาโคตมะมิได้เพียงปกครองแผ่นดินด้วยสติ แต่ยังยอมเสี่ยงพระชนม์ชีพเพื่อช่วยชีวิตราชานาคผู้เป็นมิตรในธรรม แม้ต่างเผ่าพันธุ์ แต่กลับผูกพันกันด้วยศรัทธาและคุณธรรม ชาดกเรื่องนี้จึงสอนให้รู้ว่าความดีนั้นอยู่เหนือรูปลักษณ์ และความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนธรรม ย่อมยืนยาวกว่าทองคำหรือแก้ววิเศษใด ๆ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานชาดกเรื่องราชานาค (อังกฤษ: The Naga King) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดสัตว์ชาดกหรือ ซึ่งเป็นกลุ่มชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นหรือเกี่ยวข้องกับสัตว์กึ่งเทพอย่าง “ราชานาค” โดยเฉพาะในบริบทของการแสดงธรรม ความศรัทธา และไมตรีระหว่างเผ่าพันธุ์ต่างๆ

พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อมีภิกษุกลุ่มหนึ่งถกเถียงกันว่า “คนต่างวรรณะหรือไม่ใช่ภิกษุ สามารถเป็นมิตรแท้ในธรรมได้หรือไม่” พระองค์จึงตรัสเล่าชาดกในอดีตชาติที่พระองค์ได้เสวยชาติเป็นพระราชาโคตมะ ผู้ตั้งมั่นในธรรมและไม่แบ่งแยกสิ่งมีชีวิตใดๆ

ในชาตินั้น พระโพธิสัตว์ได้ผูกมิตรกับราชานาคผู้มีแก้ววิเศษบนเศียร ด้วยใจบริสุทธิ์ มิได้หวังผลตอบแทน และเมื่อมิตรตกอยู่ในอันตราย พระองค์ก็เสี่ยงชีวิตเข้าช่วยเหลือโดยไม่ลังเล การกระทำอันเปี่ยมเมตตานี้ นำมาซึ่งความเข้าใจและความสำนึกในใจของผู้คนทั้งสองฝ่าย

ชาดกเรื่องนี้จึงเน้นย้ำว่าศรัทธาในธรรมย่อมเป็นสะพานเชื่อมใจแม้ข้ามเผ่าพันธุ์ และการเสียสละเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน คือรากฐานของมิตรภาพที่แท้จริง

คติธรรม: “ไมตรีแท้ ย่อมตั้งอยู่บนความจริงใจ ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ วรรณะ หรือผลประโยชน์”


by