ปกนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความล้ำเลิศลี้ลับ

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความล้ำเลิศลี้ลับ

บางครั้ง สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ได้เกิดจากการแสดงออก หากแต่มาจากความสงบที่ไม่เอื้อนเอ่ย คำสอนของเต๋ากล่าวไว้ว่า “ผู้รู้จริงย่อมเงียบงัน” เพราะความเงียบนั้นคือภาษาของปัญญา และความสงบคือเครื่องหมายของความเข้าใจอันลึกซึ้ง

มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊อได้ถ่ายทอดผ่านเรื่องราวของช่างผู้สร้างวัดโบราณ ผู้ใช้ความสงบแทนถ้อยคำ และใช้ความเข้าใจแทนการอวดอ้าง กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความล้ำเลิศลี้ลับ

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความล้ำเลิศลี้ลับ

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความล้ำเลิศลี้ลับ

กาลหนึ่ง ข้ายังจำได้ถึงวันที่เดินทางไปยังแคว้นลู่ เมืองหลวงในหุบเขาที่หมอกบางปกคลุมทั่วท้องฟ้า ที่นั่นมีชายคนหนึ่งชื่อ “ชางเหลียง” ไม่ใช่ขุนนาง ไม่ใช่กวี หากเป็นเพียงช่างไม้ผู้สร้างวัดเก่าแก่บนเนินเขา

แต่เสียงร่ำลือถึงฝีมือของเขากลับดังก้องไปทั่วแผ่นดิน

วัดที่เขาสร้างนั้นงดงามยิ่งนัก ไม่เพียงเพราะโครงสร้างที่มั่นคงหรือหลังคาที่ซ้อนเรียงดุจปีกมังกร แต่เพราะทุกเสากับกระเบื้องล้วนเหมือนมี “ชีวิต” ราวกับอิฐหินเหล่านั้นหายใจอยู่ภายใต้ลมแห่งเต๋า

ข้าเคยยืนเฝ้ามองเขาทำงานอยู่เงียบ ๆ วันแล้ววันเล่า เขาไม่เคยสั่งการ ไม่เคยตำหนิ เขาทำงาน คนงานทุกคนรู้ตำแหน่งของตน ราวกับดนตรีที่เล่นโดยไม่ต้องมีคนคุมจังหวะ บางครั้งข้าก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า ชายคนนี้บรรลุเต๋าแล้วหรือไม่

เย็นวันหนึ่ง ข้าเดินเข้าไปหาเขา เขากำลังขัดเสาไม้ต้นใหญ่ที่ถูกตัดใหม่ กลิ่นไม้หอมแผ่วเบาในลม ข้าถามขึ้นว่า “ชางเหลียง… เหตุใดวัดของเจ้าจึงงดงามนัก ทั้งที่เจ้ามิได้ร่ำเรียนศาสตร์สถาปัตย์จากผู้ใด?”

เขาหยุดมือชั่วครู่ เช็ดเหงื่อ แล้วตอบด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “ไม่มีเคล็ดลับใด ข้าเพียงฟังให้มากกว่าพูด มองให้มากกว่าคิด และทำให้มากกว่าที่ตั้งใจ”

ข้าหัวเราะเบา ๆ “ถ้อยคำของเจ้าช่างเรียบง่าย แต่ลึกนัก… ข้ารู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในความเงียบของเจ้า”

เขาเพียงยิ้ม ไม่ตอบอะไร กลับหันไปจับสิ่วอีกครั้งอย่างสงบ จังหวะการแกะไม้ของเขาเหมือนบทสวดแห่งเต๋า ช้า สม่ำเสมอ และมั่นคง

หลายวันถัดมา ข้าอยู่เงียบ ๆ ในวัดที่เกือบเสร็จสมบูรณ์ สายลมเช้าพัดผ่านประตูไม้ เสียงใบไผ่กระทบกันเบา ๆ ข้าเห็นชางเหลียงกำลังนั่งอยู่หน้าหิ้งว่าง ไม่มีพระพุทธรูป ไม่มีเครื่องสักการะ มีเพียงแท่นหินเปล่า ๆ

“เหตุใดเจ้าจึงไม่วางรูปเคารพไว้ในวัด?” ข้าถาม

เขาตอบอย่างแผ่วเบา “เพราะเต๋าไม่มีรูป ข้าสร้างเพียงที่ว่าง เพื่อให้ผู้คนได้พบสิ่งที่อยู่ในใจตนเอง”

ข้านิ่งไปครู่หนึ่ง… แล้วเข้าใจว่า ความเลิศล้ำของเขามิได้อยู่ที่ฝีมือ หรือภูมิปัญญาใด ๆ
แต่คือ “ความว่าง” ความเข้าใจที่ทำให้เขาไม่ต้องอวดรู้ ไม่ต้องพูด แต่ทุกการกระทำกลับสอนโดยไม่ตั้งใจ

มีวันหนึ่ง เขาเดินตรวจงานรอบวัด คนงานบางคนถามเขาเรื่องวิธีแกะลวดลายบนหลังคา
เขาไม่ตอบในทันที แต่เดินเข้าไปแตะเสาไม้ แล้วพูดเพียงว่า “อย่าฝืนไม้ จงฟังเสียงมันก่อน มันจะบอกเจ้าว่าควรถูกแตะตรงไหน”

ทุกคนเงียบงัน และในความเงียบนั้น ข้าเข้าใจสิ่งที่เล่าจื๊อในวันก่อน “คนที่รู้ ไม่พูด” อย่างลึกซึ้งที่สุด

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความล้ำเลิศลี้ลับ 2

หลายเดือนผ่านไป วัดของชางเหลียงสร้างเสร็จสมบูรณ์ในฤดูใบไม้ร่วง ลมเย็นพัดผ่านยอดไม้ เสียงกระดิ่งลมที่แขวนไว้ตรงชายคาดังกังวานไปทั่ว เมื่อแสงอาทิตย์ยามเช้าสาดต้องหลังคากระเบื้อง วัดทั้งหลังดูเหมือนมีชีวิต มันไม่เพียงเป็นที่สักการะ แต่เป็น “ลมหายใจของภูเขา” เอง

ข้าเดินเคียงเขาไปในลานวัด ผู้คนจากหมู่บ้านใกล้เคียงเริ่มทยอยขึ้นมาเพื่อชมความงามของสิ่งปลูกสร้างนี้ หลายคนยกมือไหว้เขาเหมือนนักบุญ แต่เขากลับยิ้มเจื่อน ๆ แล้วหลบออกจากฝูงชน ไปนั่งใต้ต้นสนอย่างเงียบงัน

ข้าเดินตามไปถาม “เจ้าสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดจึงไม่ภูมิใจหรือกล่าวถึง?”

เขาเพียงหัวเราะเบา ๆ “หากสิ่งที่ข้าสร้างยังต้องมีคนกล่าวขาน ก็แปลว่ายังไม่กลมกลืนกับเต๋า”

เขาเอามือลูบพื้นไม้ที่เย็นชื้น “เมื่อคนเดินผ่านวัดนี้แล้วรู้สึกสงบในใจ โดยไม่รู้ว่าทำไม นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าต้องการ”

ข้าหันมองวัดที่เงียบงาม ทุกสิ่งอยู่ในที่ของมัน ไม่มีสิ่งใดโดดเด่น ไม่มีสิ่งใดพร่อง ราวกับว่าธรรมชาติกับฝีมือมนุษย์ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

คืนหนึ่ง ก่อนข้าจะออกเดินทางต่อ ชางเหลียงมาหาข้า เขาบอกว่าจะออกจากเมืองเช่นกัน เพราะงานของเขาได้เสร็จสิ้นแล้ว เรานั่งมองไฟตะเกียงในวิหาร เงาสะท้อนบนพื้นไม้โยกไหวไปตามลม

ข้าถามเขาเป็นครั้งสุดท้าย “ชางเหลียง เจ้าคิดว่าความงามของวัดนี้เกิดจากอะไร?”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบอย่างแผ่วเบา “จากสิ่งที่ข้าไม่ได้แตะต้อง”

ข้าขมวดคิ้ว

เขายิ้มและอธิบายต่อ “สิ่งที่ข้าไม่แตะ คือธรรมชาติของมันเอง เสาไม้แต่ละต้นมีชีวิตของมัน ข้าเพียงช่วยให้มันยืนอยู่ในที่ของมันอย่างสมดุล ไม่ใช่เปลี่ยนมันให้เป็นสิ่งอื่น”

ข้าฟังแล้วหัวใจสั่นสะเทือน ความเข้าใจนั้นลึกซึ้งกว่าคำสอนพันเล่มหนังสือ

เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อข้าออกจากวัด หมอกบางปกคลุมเหนือยอดไม้ เสียงระฆังยามเช้าดังขึ้นช้า ๆ ข้าเห็นชางเหลียงเดินหายเข้าไปในหมอก ไม่มีคำร่ำลา เหลือเพียงวัดที่นิ่งสงบ และเสียงลมแผ่วผ่านช่องไม้

ข้าเดินลงจากภูเขา แล้วรู้ทันทีว่า ข้าได้เห็น “เต๋าในรูปของคน” แล้วจริง ๆ

ในที่สุด ข้าจึงเข้าใจว่าความดีงามที่แท้จริงนั้นไม่จำเป็นต้องเปล่งประกายให้ใครเห็นมันดำรงอยู่ในความเงียบ การไม่อวดรู้ และการทำสิ่งเล็ก ๆ ด้วยใจอันกลมกลืน

และข้ารำพึงในใจเบา ๆ ว่า… “นี่แหละ ความดีงามลี้ลับ”

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความล้ำเลิศลี้ลับ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ผู้ที่เข้าใจเต๋าอย่างแท้จริง ไม่จำเป็นต้องพูดโอ้อวดหรือแสดงให้ใครเห็น เพราะความรู้และความดีงามที่แท้จริงนั้นเงียบ เรียบง่าย และกลมกลืนไปกับทุกสิ่งรอบตัว นี่คือแก่นของความเลิศล้ำลี้ลับ

ในนิทาน เล่าจื๊อได้พบกับช่างชื่อชางเหลียง ผู้สร้างวัดอันงดงามโดยไม่ต้องอวดตน เขาทำงานด้วยความสงบ ฟังมากกว่าพูด มองมากกว่าคิด และปล่อยให้สิ่งที่เป็นธรรมชาติดำรงอยู่ในรูปเดิม เมื่อวัดเสร็จ มันไม่ได้งามเพราะฝีมือของเขา แต่งามเพราะเขา “ไม่พยายามบังคับมันให้เป็นอย่างใจ” ผู้ที่เข้าใจเต๋าจึงเป็นเช่นนี้ ทำโดยไม่ยึด ทำดีโดยไม่ต้องพูดถึง และปล่อยให้ทุกสิ่งงอกงามอย่างเงียบงันในหนทางของมันเอง

อ่านต่อ: เรียนรู้ปรัชญาสุดลึกซึ้งแห่งวิถีเต๋าผ่านนิทานเต้าเต๋อจิง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความล้ำเลิศลี้ลับ (อังกฤษ: The Mysterious Excellence) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 56 ซึ่งกล่าวถึง “ความเลิศล้ำลี้ลับ” หรือภาวะของผู้ที่เข้าใจเต๋าอย่างแท้จริง ผู้ที่รู้ย่อมไม่พูด ผู้ที่พูดกลับไม่รู้ เพราะสัจธรรมของเต๋าไม่อาจอธิบายด้วยถ้อยคำได้ ผู้รู้จึงเลือกความเงียบ ความสงบ และความเรียบง่ายเป็นหนทางแห่งปัญญา เขาปิดประตูแห่งถ้อยคำและอารมณ์ ปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปตามวิถีของมันโดยไม่บังคับ ไม่ต้านทาน เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:

ความเลิศล้ำลี้ลับ

ผู้ที่เข้าใจเต๋าจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงมันบ่อย ๆ
ผู้ที่ชอบพูดถึงเต๋ามาก ๆ กลับไม่เข้าใจมันจริง

ผู้รู้จักเต๋าจริง จะสงบนิ่ง ปิดปาก ระมัดระวังคำพูดและการกระทำ ลดความคมและความซับซ้อนของตัวเอง ปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่นอย่างกลมกลืน สิ่งนี้เรียกว่า “ความกลมกลืนลี้ลับ”

บุคคลเช่นนี้
ไม่สามารถประเมินด้วยความสนิทหรือไกลเหิน
ไม่ยึดติดกับผลประโยชน์หรือความเสียหาย
ไม่ถือดีถือชั่ว
เขาคือคนที่สูงส่งที่สุดในโลก

เล่าจื๊อสอนว่า ผู้ที่เข้าถึงเต๋าได้จริง จะลดความคมของตนให้ทื่อลง คลี่คลายความซับซ้อนในใจให้เรียบง่าย และยอมกลมกลืนกับสรรพสิ่งโดยไม่ต้องเปรียบตนเหนือกว่าใคร เขาไม่ยึดติดกับคำชม คำติ ผลประโยชน์ หรือความสูญเสีย เพราะรู้ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงชั่วคราว การอยู่ในสมดุลระหว่างการมีและการไม่มี คือการอยู่ในภาวะแห่งความกลมกลืนลี้ลับ

นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทนี้ ผ่านเรื่องราวของเล่าจื๊อและช่างผู้สร้างวัด ที่ทำงานด้วยใจสงบโดยไม่ต้องอวดตน ผลงานของเขาอยู่เหนือกาลเวลา เพราะเกิดจากจิตที่ปราศจากความอยากและการบีบบังคับ นี่คือหัวใจของคำสอนในบทนี้ ความดีงามแท้จริงนั้นซ่อนอยู่ในความสงบ เรียบง่าย และไร้ถ้อยคำ นี่แหละคือ “ความเลิศล้ำลี้ลับ” ที่เล่าจื๊ออยากให้ผู้คนได้เข้าใจ

คติธรรม: “ผู้รู้แท้ไม่ต้องเปล่งวาจาใด ๆ แต่การเงียบของเขา กลับสอนโลกได้ลึกซึ้งกว่าพันถ้อยคำ”