ปกนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องเสน่ห์ลี้ลับ

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องเสน่ห์ลี้ลับ

ในโลกนี้ หลายคนมักคิดว่าความกลมกลืนกับสิ่งรอบตัวเกิดจากการควบคุมและก้าวร้าว แต่คำสอนของเต๋าบอกว่า การสงบนิ่งและไม่สร้างแรงคุกคามใด ๆ ต่อผู้อื่นหรือธรรมชาติ คือหนทางสู่ความปลอดภัยและความสมดุลที่แท้จริง

มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊อได้สัมผัสถึงผู้คนผู้มีพลังลึกลับในใจ พลังที่ไม่ได้สร้างอำนาจเหนือธรรมชาติ แต่กลับทำให้สามารถอยู่ร่วมกับสิ่งรอบตัวอย่างสงบและไม่ถูกคุกคาม กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องเสน่ห์ลี้ลับ

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องเสน่ห์ลี้ลับ

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องเสน่ห์ลี้ลับ

ข้าเคยมีสหายคนหนึ่ง เขามีนามว่าขงซวี เขาไม่ใช่ขุนนาง ไม่ใช่นักรบใหญ่โต ไม่แม้แต่จะสวมชุดหรูหรา แต่กลับเป็นที่เคารพของทั้งชาวบ้านและขุนนาง แม้แต่องค์จักรพรรดิยังเคยเชิญเขาไปนั่งสนทนา และรับฟังบทกวีที่เขาขับขาน

สิ่งที่ทำให้ผู้คนหลงใหล ไม่ใช่ถ้อยคำวิจิตรตระการตา หากแต่เป็นความเรียบง่ายในน้ำเสียงที่ออกมาจากใจบริสุทธิ์

ข้าเคยเดินเคียงข้างเขาในวันที่ฟ้าหม่น เราหยุดพักใต้ต้นไม้ใหญ่ริมลำธาร ขงซวีหยิบขลุ่ยไม้ไผ่ขึ้นมาเป่า ทำนองนั้นอ่อนโยนยิ่งนัก และต่อมา เขาเขียนถ้อยคำสั้น ๆ ลงบนแผ่นไม้ว่า

“น้ำใสเพราะไร้ความขุ่น
ใจสงบเพราะไร้ความอยาก”

ข้าอ่านแล้วหัวเราะเบา ๆ “เพียงเท่านี้หรือ คือบทกวีที่ทำให้ผู้คนยกย่องเจ้านัก?”

เขายิ้มบาง ๆ พลางตอบว่า “ธรรมชาติยิ่งใหญ่เพราะมันไม่อวด ความจริงยิ่งใหญ่เพราะมันเรียบง่าย”

ข้าเงียบไปชั่วขณะ ใจของข้าเหมือนถูกเขย่า ไม่ใช่ด้วยถ้อยคำ แต่ด้วยความสงบที่อบอวลรอบตัวเขา ในวินาทีนั้น ข้ารู้สึกถึงสิ่งหนึ่งที่ยากจะอธิบายเสน่ห์ลี้ลับที่ไม่อาจเห็นด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยหัวใจ

กาลหนึ่ง เราออกเดินทางผ่านป่าลึก เพื่อตามหาความเงียบที่ไม่อาจพบในเมือง อากาศเย็นและชื้น เสียงนกก้องกังวานอยู่รอบ ข้าเดินตามหลังขงซวีที่ก้าวอย่างมั่นคงบนทางดิน

ทันใดนั้น เงาร่างมหึมาปรากฏ หมูป่าดุร้ายตัวใหญ่ก้าวออกมาจากพงหญ้า ดวงตาของมันวาววับและเต็มไปด้วยพลังชีวิต ผู้ติดตามของเราหวาดผวา บ้างวิ่งหนี บ้างกำมีดสั้นในมือสั่นระริก

หมูป่ามีทั้งจากความก้าวร้าวและความแข็งแรงของมัน ทำให้สามารถทำร้ายหรือขวิดมนุษย์ได้ด้วยงาที่แหลมคม

แต่ขงซวีกลับหยุดยืนตรงหน้าหมูป่า เขาไม่ทำท่าต่อต้าน ไม่แสดงความกลัว ดวงตาของเขาสงบนิ่งเหมือนผิวน้ำที่ไร้ระลอก ข้าอยู่ไม่ไกลนัก หัวใจเต้นแรงเหมือนกลองรบ แต่สิ่งที่ข้าเห็นตรงหน้านั้นกลับทำให้ต้องกลั้นหายใจ

หมูป่าใหญ่เพียงยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ แล้วค่อย ๆ หันกลับเข้าไปในป่าโดยไม่ทำร้ายใคร

เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป ข้าถามเขาด้วยเสียงยังสั่นเครือ “เหตุใดหมูป่าจึงไม่โจมตี? มันพุ่งเขาหาเรา งาของมันทำให้เราถึงตายได้เลยนะ”

ขงซวีหัวเราะเบา ๆ ก่อนกล่าวว่า “สัตว์ทั้งหลายมิได้เกิดมาเพื่อทำร้ายมนุษย์ มันเพียงตอบสนองต่อกลิ่นของความกลัวและแรงของการคุกคาม หากใจเราสงบ ไม่ผลัก ไม่ดึง ธรรมชาติก็ไม่จำเป็นต้องปกป้องตัวเอง”

ถ้อยคำของเขาเหมือนน้ำเย็นที่รินลงกลางใจ ข้ารู้ทันทีว่า สิ่งที่ทำให้หมูป่าไม่ทำร้ายเรา ไม่ใช่เพราะปาฏิหาริย์ แต่เป็นเพราะพลังแห่งความกลมกลืน ที่เปล่งออกมาจากตัวเขาเอง

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องเสน่ห์ลี้ลับ 2

หลังเหตุการณ์วันนั้น ข้ากับขงซวีนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่กลางป่า เสียงลมพัดใบไม้กระทบกันเบา ๆ ราวกับจะร่วมสนทนาด้วย

ข้าเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นหรือ… พลังของเต๋าไม่ใช่การมีฤทธิ์อำนาจ ไม่ใช่การทำให้เราเหนือกว่าสิ่งทั้งปวง?”

ขงซวีหันมายิ้มบาง ๆ สายตาเปี่ยมเมตตา “มิใช่เลย พลังของเต๋าไม่ทำให้เรายิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติ แต่ทำให้เรากลมกลืนไปกับมัน”

เขาหยิบก้อนดินขึ้นมากำไว้ ก่อนคลายออกให้ข้าดู “ดินนี้อ่อนนุ่ม แต่สามารถโอบอุ้มน้ำได้ ต้นไม้ก็เติบโตได้เพราะดินที่ถ่อมตนนี้… เช่นเดียวกัน มนุษย์เมื่อวางความกลัวและความอยากลง ย่อมกลับคืนสู่ความอ่อนโยนเหมือนทารก ไม่มีภัยใดคิดจะทำร้าย เพราะมิได้สร้างแรงคุกคามให้แก่ใคร”

ข้าเงียบไปนาน มองสหายตรงหน้า เห็นความจริงในคำพูดของเขา แม้ร่างกายเขาไม่ได้แข็งแรงเหมือนนักรบ แต่กลับมีพลังบางอย่างที่มั่นคงยิ่งกว่ากำลังกล้ามเนื้อใด ๆ นั่นคือพลังที่ออกมาจากความสงบและการกลมกลืนกับเต๋า

ในยามนั้นเอง ข้ารู้สึกว่า ขงซวีหาใช่เพียงกวี หากแต่เป็นครูผู้มอบบทเรียนล้ำค่าแก่ข้า โดยไม่ต้องตั้งใจจะสอนเลยด้วยซ้ำ

กาลเวลาผ่านไป ขงซวีจากโลกนี้ไปอย่างสงบ ราวกับลมพัดใบไม้ร่วงสู่พื้นดิน ไม่มีเสียงโกลาหล ไม่มีใครได้ยินคำร่ำลา

ในวันที่ข้ากลับไปยืน ณ ป่าแห่งเดิม ต้นไม้ใหญ่ยังคงยืนหยัดอยู่เช่นเคย ลำธารยังคงไหลริน ข้าเงี่ยหูฟังเหมือนจะได้ยินเสียงขลุ่ยไม้ไผ่ดังแว่วมาในสายลม

ข้าพึมพำกับตนเองว่า “สิ่งที่ขงซวีมี มิใช่อำนาจ ไม่ใช่เวทมนตร์ แต่คือพลังแห่งความกลมกลืนกับเต๋า… พลังที่ทำให้ผู้คนและธรรมชาติล้วนสงบต่อหน้าเขา”

ข้ามองฟ้ากว้างแล้วกล่าวต่อ “นี่แหละคือเสน่ห์ลี้ลับ สิ่งที่ไม่อาจจับต้อง แต่ผู้ที่ได้สัมผัสจะไม่มีวันลืมเลือน”

เมื่อข้าเดินออกจากป่า ข้ายังคงได้ยินเสียงกวีของสหายในใจ ราวกับเป็นแสงนำทางบนหนทางแห่งเต๋าที่ข้ายังต้องก้าวเดินต่อไป แม้ตัวเขาจะจากไปแล้ว แต่ผลงานและบทเรียนของเขาจะอยู่ยืนยาวนับนานแสนนาน เป็นร่องรอยแห่งความสงบและความกลมกลืนที่ผู้คนยังคงซาบซึ้งได้

พลังอำนาจของผู้รู้เป็นเช่นนี้เอง เขาไม่ยึดถือสิ่งใด ไม่บีบเค้นความจริงหรือความสำเร็จ เขาปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ ผ่านเข้ามาและผ่านออกไปด้วยใจที่สงบ ปราศจากความอยาก ไม่เคยคาดหวังผลลัพธ์ใด ดังนั้นจึงไม่เคยผิดหวัง หรือถูกกังวลจากความสูญเสีย

ความสามารถนี้มิใช่สิ่งที่สร้างขึ้นจากกำลังหรือเวทมนตร์ แต่เกิดจากการอยู่ร่วมกับสรรพสิ่งอย่างเต็มใจและถ่อมตน ร่างกายอาจเสื่อมสลาย แต่จิตวิญญาณของเขายังคงอ่อนเยาว์ ไม่แก่เฒ่า ไม่ถูกจำกัดด้วยกาลเวลา เสน่ห์ลี้ลับที่ขงซวีมีจึงมิได้อยู่แค่ตัวเขา แต่แพร่ไปในบทกวี คำพูด และการกระทำของเขา ให้ผู้ที่เข้าใจสามารถเรียนรู้และนำไปปฏิบัติได้ตราบชั่วชีวิต

นี่คือพลังแท้จริงของเต๋าไม่ใช่การควบคุม แต่คือการอยู่ร่วมกับทุกสิ่งอย่างสงบ กลมกลืน และไม่หวังสิ่งใดจากโลกภายนอก สิ่งนี้เองคือเสน่ห์ลี้ลับที่ไม่จางหาย และเป็นรากฐานของชีวิตที่มั่นคงและไม่ถูกกระทบจากความเปลี่ยนแปลงใด ๆ

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องเสน่ห์ลี้ลับ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.. พลังแท้จริงของเต๋าไม่ใช่การมีฤทธิ์เดชเหนือธรรมชาติ หากแต่เป็นการกลมกลืนกับธรรมชาติและผู้คน จนไม่สร้างความหวาดกลัวหรือการคุกคามแก่สิ่งใด พลังเช่นนี้คือความอ่อนโยนที่มั่นคง ความสงบที่หนักแน่น และความถ่อมตนที่เปี่ยมด้วยพลังลี้ลับ นี่คือแก่นของเสน่ห์ลี้ลับ

ในเรื่องเล่าระหว่างเล่าจื๊อกับขงซวี เราได้เห็นว่าความสงบของจิตใจสามารถทำให้ภัยร้ายผ่านพ้นไปได้โดยไม่ต้องใช้กำลัง ขงซวีไม่ใช่นักรบ แต่กลับมีพลังที่ปกป้องตนเองและผู้รอบข้างได้ เพราะเขาไม่สร้างแรงคุกคามแก่ธรรมชาติหรือสัตว์ร้าย ความลี้ลับนี้เอง คือพลังที่เกิดจากการดำเนินชีวิตอย่างกลมกลืนกับเต๋า เมื่อเข้าใจเช่นนี้ เราจะรู้ว่า ความเข้มแข็งที่แท้จริงคือการอยู่ร่วมกับสรรพสิ่งอย่างสันติ มากกว่าการเอาชนะด้วยกำลัง

อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสอนปรัชญาสุดลึกซึ้งในวิถีเต๋าให้กับชีวิตโดยเล่าจื๊อ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องเสน่ห์ลี้ลับ (อังกฤษ: The Mysterious Charm) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 55 ซึ่งกล่าวถึง “เสน่ห์ลึกลับ” ของผู้ที่มีเต๋าเต็มตัว อันเป็นภาวะของความกลมกลืนและสงบอย่างแท้จริง บทนี้สอนให้เห็นว่า ผู้ที่มีใจสงบและไม่สร้างแรงคุกคามแก่สิ่งใด ย่อมสามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติและสรรพชีวิตได้โดยปลอดภัย พลังดังกล่าวไม่ได้ทำให้เหนือธรรมชาติ แต่ทำให้กลมกลืนและหลีกเลี่ยงอันตรายได้ด้วยความสงบ เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:

เสน่ห์ลี้ลับ

ผู้ที่มีคุณลักษณะของเต๋าอยู่เต็มตัว เปรียบเสมือนทารกแรกเกิด
แมลงมีพิษจะไม่ทำร้ายเขา สัตว์ร้ายก็ไม่สามารถทำอันตราย นกนักล่าก็ไม่สามารถจู่โจม

ร่างกายของทารกนั้นอ่อนแอ กระดูกเปราะ กล้ามเนื้อนุ่ม แต่การจับยึดกลับมั่นคง มันยังไม่รู้จักความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง
แต่ร่างกายกลับแสดงถึงความสมบูรณ์ของพลังทางกาย ทั้งวันร้องไห้โดยไม่ทำให้คอแหบ แสดงถึงความกลมกลืนและสมดุลในร่างกาย

สำหรับผู้ที่รู้จักความกลมกลืนนี้ ความลี้ลับของเต๋าที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็จะเปิดเผย และปัญญาจะตั้งรกรากในความรู้นั้น

ศิลปะหรือวิธีเพิ่มพลังชีวิตที่นำไปสู่ความชั่ว จะกลับกลายเป็นโทษ
เมื่อจิตใจทำให้ลมหายใจสำคัญร้อนขึ้น พลังนั้นเป็นของเทียม และเราควรระวังและเสียใจ

สิ่งใดที่แข็งแรงเกินไป สุดท้ายก็จะแก่เสื่อม
ซึ่งเป็นสิ่งตรงข้ามกับเต๋า และสิ่งใดที่ขัดกับเต๋าก็จะสิ้นสุดอย่างรวดเร็ว

โดยเล่าจื๊อสอนว่า ผู้ที่บ่มเพาะเต๋าในตัวอย่างเต็มเปี่ยมจะมีความสมดุลและคงความบริสุทธิ์เหมือนทารก พลังชีวิตและร่างกายจะอยู่ในความกลมกลืนตามธรรมชาติ ไม่ต้องพยายามบังคับหรือเสริมพลังจนเกินไป เพราะสิ่งที่ขัดกับธรรมชาติของเต๋า จะเกิดความเสื่อมและจบสิ้นอย่างรวดเร็ว การอยู่กับเต๋าแบบสมดุลคือความลับของความยั่งยืนและปัญญาแท้

นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว โดยเปรียบเสน่ห์และพลังภายในของขงซวีกับความสงบของธรรมชาติ ที่แม้ภายนอกจะอ่อนแอ แต่ภายในกลับมีพลังมั่นคงและลึกล้ำ และนี่คือหัวใจของ “เสน่ห์ลี้ลับ” ที่เล่าจื๊ออยากให้ผู้คนได้ตระหนักและเรียนรู้

คติธรรม: “พลังที่แท้จริงมิใช่การครอบงำ แต่คือการกลมกลืนกับธรรมชาติอย่างสงบและอ่อนโยน”