ในโลกที่เปลี่ยนผันอยู่ทุกวัน สิ่งที่เรายึดถือว่าเป็นของเราอาจหายวับไปในพริบตา แต่บางครั้ง สิ่งที่ผูกเราไว้แน่นที่สุดกลับไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ หากเป็นความยึดมั่นที่ฝังแน่นในใจโดยไม่รู้ตัว
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงสัตว์ตัวเล็กๆ กับชายช่างตัดหิน ที่ได้พบกันด้วยเหตุบังเอิญ ทว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองกลับนำไปสู่เรื่องราวแห่งการเรียนรู้ ความกล้าหาญ และการปล่อยวางอันลึกซึ้งเหนือกาลเวลา กับนิทานชาดกเรื่องหนูกับช่างตัดหิน

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องหนูกับช่างตัดหิน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ เมืองแห่งหนึ่งในชมพูทวีป มีเศรษฐีผู้มั่งคั่งอาศัยอยู่พร้อมภรรยา หญิงผู้งามสง่าและฉลาดเฉลียว ทว่าแม้จะมีทรัพย์สินล้นฟ้า นางกลับยึดติดกับทองคำและแก้วแหวนเงินทองมากกว่าชีวิต เมื่อสิ้นอายุขัย นางมิได้ไปสู่สุขคติ หากแต่ได้กำเนิดใหม่เป็น… หนูตัวหนึ่ง
หนูตัวนั้นอาศัยอยู่ใต้ถุนบ้านร้าง แต่สิ่งที่แตกต่างจากหนูทั้งหลาย คือมันมีหีบสมบัติใบเล็กๆ ฝังไว้ใต้ดิน ภายในเต็มไปด้วยเหรียญทอง อัญมณี และของล้ำค่า
“ข้าอุตส่าห์เก็บสะสมมาชั่วชีวิต จะให้ของพวกนี้ตกไปอยู่กับใครง่ายๆ ได้อย่างไร” หนูพูดกับตัวเอง พลางลูบกล่องสมบัติด้วยเท้าเล็กๆ
แม้ร่างจะเปลี่ยนไป ทว่านิสัยกลับไม่แปรเปลี่ยน หนูไม่หิวอาหารเท่าที่หิวการครอบครอง มันใช้เวลาทั้งวันนั่งนับเหรียญ และบางครั้งก็ฝันถึงวันที่ตนยังเป็นภรรยาเศรษฐี
วันหนึ่ง หนูบังเอิญพบกับชายคนหนึ่งซึ่งกำลังสกัดหินอยู่ริมภูเขา เขาเป็นคนซื่อสัตย์ แม้จะยากจนแต่ก็มีใจเอื้อเฟื้อ หนูรู้สึกประหลาดใจ เพราะชายผู้นี้ไม่มีสมบัติใดๆ แต่กลับดูสงบเย็น
“เจ้าเป็นหนูที่พูดได้รึ” ช่างตัดหินถามอย่างประหลาดใจ
“ข้าไม่ใช่หนูธรรมดา… ข้ามีสมบัติ และข้าชอบเจ้านะ ดูเจ้าจะขยันและไม่โลภเหมือนมนุษย์ทั่วไป”
นับแต่นั้น หนูกับคนตัดหินก็เป็นเพื่อนกัน หนูมอบเหรียญทองให้เขาเล็กน้อย “เอาไปซื้ออาหารมากิน แล้วแบ่งให้ข้าด้วยนะ”
ทุกวัน ช่างตัดหินจะหิ้วถุงอาหารกลับมา แบ่งให้หนูครึ่งหนึ่ง และนั่งกินร่วมกันใต้ร่มไม้ริมเขา
วันหนึ่ง ขณะที่หนูกำลังกินถั่วอยู่ใต้พุ่มไม้ ก็มีแมวลายเทาตัวใหญ่กระโจนใส่ มันฟาดอุ้งเท้าใส่หนูอย่างรวดเร็ว หนูดิ้นสุดแรง “ปล่อยข้านะ ข้าไม่ใช่หนูธรรมดา!” หนูร้องด้วยความตกใจ
แมวหรี่ตา “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ข้าหิว และเจ้าก็คืออาหาร”
หนูรีบพูด “ข้ามีอาหารทุกวัน ข้าจะให้เจ้ากินทุกวันเลย ขอแค่เจ้าอย่ากินข้าในวันนี้”
แมวชะงัก แล้วค่อยๆ ปล่อยอุ้งเท้าออก “จริงรึ เจ้ามีอาหารทุกวันงั้นหรือ”
หนูพยักหน้า “คนตัดหินเอาอาหารมาให้ข้าทุกวัน ข้าจะแบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่ง ขอแค่เจ้าอย่าทำร้ายข้า”
แมวยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ก็ตกลง… แต่ถ้าเจ้าโกหก ข้าจะมากินเจ้าแน่ๆ”
นับจากวันนั้น หนูต้องแบ่งอาหารให้แมวทุกวัน และจากแค่ครึ่งหนึ่ง กลับกลายเป็นมากกว่าครึ่ง แมวกินอย่างมูมมาม หนูเริ่มผอมโซ และไม่มีแรงจะลากสมบัติกลับที่ซ่อนด้วยซ้ำ
วันหนึ่ง ช่างตัดหินสังเกตเห็นว่าเพื่อนหนูของเขาดูอิดโรย “เจ้าดูอ่อนแรงไปมาก เกิดอะไรขึ้นหรือ”
หนูถอนหายใจยาว “ข้ามีเรื่องต้องเล่า… มันเกี่ยวกับแมวตัวหนึ่ง”
เมื่อหนูเล่าจบ ช่างตัดหินนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “เราจะไม่ยอมให้เจ้าต้องอยู่อย่างหวาดกลัวอีกต่อไป ข้ามีแผน”

เช้าวันถัดมา เช้าวันถัดมา ช่างตัดหินเดินเข้าป่าไผ่ แล้วกลับมาพร้อมกล่องแก้วใสที่เขาทำขึ้นเอง มันเป็นกล่องหนาทนทานแต่เปราะบางเมื่อเจอแรงกระแทกจากภายนอก
“เจ้าหนู… วันนี้เราจะเปลี่ยนกฎของเกม”
เขาวางกล่องใส่ไว้ใต้ต้นไม้ แล้วให้หนูเข้าไปอยู่ข้างใน หนูไม่ค่อยมั่นใจนัก “ถ้าแมวเห็นข้าในนี้ มันจะไม่กระโจนใส่หรือ”
“มันจะทำแน่นอน… นั่นแหละที่เราต้องการ”
เมื่อถึงเวลา แมวตัวเดิมก็โผล่มาตามนัด ดวงตาหิวโหยกวาดมองหาหนู แล้วทันทีที่เห็นหนูในกล่องแก้ว มันก็พุ่งเข้าใส่โดยไม่ลังเล
เสียงกระจกแตกดังลั่น เศษแก้วกระจายทั่วพื้น แมวล้มลงทันที เลือดสีแดงซึมออกจากบาดแผลตรงอกที่ถูกกระจกเสียบทะลุ
หนูยืนตัวแข็งอยู่ในซากกล่องแตก ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ส่วนช่างตัดหินรีบวิ่งเข้ามาหยิบหนูขึ้นจากเศษกระจกแล้วประคองไว้อย่างห่วงใย “จบแล้ว เจ้าปลอดภัยแล้ว”
หนูมองไปที่ร่างไร้วิญญาณของแมว แล้วถอนหายใจ “ข้าควรขอบใจเจ้า หรือควรโศกเศร้ากับการตายของแมวดีนะ”
“จิตใจเมตตาของเจ้านั้นดีงาม… แต่บางครั้ง ความเมตตาต้องคู่กับปัญญา เพื่อให้รอดพ้นจากผู้ที่ไม่รู้จักพอ” ช่างตัดหินพูดด้วยเสียงนิ่งสงบเดินเข้าป่าไผ่ แล้วกลับมาพร้อมกล่องแก้วใสที่เขาทำขึ้นเอง มันเป็นกล่องหนาทนทานแต่เปราะบางเมื่อเจอแรงกระแทกจากภายนอก
วันต่อมา หนูพาช่างตัดหินเดินลัดเลาะเข้าไปในโพรงใต้ดิน บรรยากาศมืดมิดแต่อบอุ่น และตรงนั้นเอง… เขาได้เห็นกล่องสมบัติเล็กๆ เต็มไปด้วยทองคำและอัญมณีที่ส่องแสงระยิบระยับ
“นี่คือทุกสิ่งที่ข้าเคยหวงแหน ข้าเคยเป็นภรรยาเศรษฐี และเมื่อตายไป กลับยังห่วงของพวกนี้ จนต้องมาเกิดเป็นหนู… แต่ตอนนี้ ข้าเข้าใจแล้ว”
หนูยื่นเท้าเล็กๆ แตะกล่องสมบัติ “ขอมอบสมบัตินี้ให้เจ้า เพื่อขอบใจ และเพื่อจะได้ปล่อยวางได้เสียที”
ช่างตัดหินยิ้มแต่ไม่แตะต้องทองสักชิ้น “ข้าไม่อยากได้สมบัติเพื่อความโลภ ข้าอยากให้เจ้ามีชีวิตที่สงบ และเป็นอิสระจากความกลัว”
“งั้นข้าอยากให้เจ้าใช้มันเพื่อช่วยผู้อื่น… คนยาก คนดี คนซื่อสัตย์เช่นเจ้า”
เมื่อออกจากโพรง หนูไม่เคยกลับไปนับเหรียญอีกเลย มันใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย อยู่เคียงข้างชายผู้ตัดหิน ผู้มีใจมั่นคงดั่งศิลาท่ามกลางโลกที่ผันแปร
และในกาลต่อมา เมื่อหนูสิ้นอายุขัย วิญญาณของมันก็เป็นอิสระจากพันธนาการแห่งความยึดติด ได้ไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่สงบสุข ด้วยบุญแห่งมิตรภาพและการปล่อยวางที่แท้จริง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การปล่อยวางจากความยึดติด และการเลือกคบหาคนดีนั้น เป็นหนทางสู่ความพ้นทุกข์และชีวิตที่สงบ เพราะทรัพย์สินไม่อาจคุ้มครองใจได้ หากใจยังเต็มไปด้วยความกลัวและโลภ การรู้จักให้และวาง ก็เป็นการคืนอิสรภาพแก่ตนเองอย่างแท้จริง
หนูที่เคยเป็นภรรยาเศรษฐีแม้ตายไปแล้วยังยึดติดกับสมบัติ จึงต้องเกิดมาในภพที่ต่ำกว่า แต่ด้วยมิตรภาพกับคนตัดหินผู้มีจิตใจมั่นคง หนูกลับได้เรียนรู้คุณค่าของความจริงใจ การเสียสละ และการใช้ปัญญาแก้ปัญหา เมื่อหนูกล้าบอกความจริง ยอมรับความผิดพลาด และมอบสมบัติแก่ผู้ที่สมควร หนูจึงได้หลุดพ้นจากเงาของอดีตและความกลัวที่ตามหลอกหลอนมานาน สุดท้ายหนูไม่เพียงรอดพ้นจากภัยอันตราย แต่ยังได้ชีวิตใหม่ที่เต็มไปด้วยความสงบและความหมายที่แท้จริง
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องหนูกับช่างตัดหิน (อังกฤษ: The Mouse and the Stone-Cutter) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดสัตว์ชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน โดยสะท้อนถึงการปล่อยวาง ความยึดมั่นในวัตถุ และการพึ่งพาปัญญาร่วมกับความเมตตาในการดำรงชีวิตร่วมกับผู้อื่นอย่างสันติ
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งเกิดความลังเลในใจเรื่องการให้ทาน และรู้สึกไม่แน่ใจว่าทรัพย์สินที่ตนเคยสะสมไว้ก่อนบวชนั้นควรปล่อยวางหรือยังควรใช้ช่วยเหลือผู้อื่น พระองค์จึงตรัสเล่าถึงอดีตชาติของหญิงเศรษฐีผู้ยึดติดกับสมบัติแม้เมื่อตายไปแล้ว จนต้องมาเกิดเป็นหนู แต่กลับได้รับการช่วยเหลือจากคนตัดหินผู้ไม่มีสิ่งใดนอกจากจิตใจอันมั่นคงและเปี่ยมด้วยเมตตา
ชาดกเรื่องนี้สอนถึงการเสียสละ และการปล่อยวางสิ่งที่ตนเคยหวงแหน ชาดกเรื่องนี้จึงสะท้อนให้เห็นว่าความหลุดพ้นไม่ได้เกิดจากการสะสมวัตถุ หากเกิดจากการรู้จักให้อย่างแท้จริง และการคบหาผู้มีปัญญาย่อมนำทางจิตใจไปสู่ทางแห่งสันติและความเจริญ
คติธรรม: “สมบัติเก็บไว้ในหีบ มีวันสูญ… แต่สมบัติที่แบ่งปันด้วยใจ จะอยู่ในใจผู้อื่นตลอดไป”