คำตอบบางคำ อาจไม่ใช่สิ่งที่เราคาดหวัง และบางครั้งกลับดูไร้สาระเสียจนเราหัวเราะออกมา แต่หากใจเรานิ่งพอ อาจพบว่าคำตอบนั้น… ลึกซึ้งยิ่งกว่าคำสอนใด ๆ
มีนิทานเซนเรื่องหนึ่งที่เล่าถึงคำถามธรรมดา และคำตอบที่ไม่มีใครตั้งราคาได้ เรื่องของหัวแมวที่ไม่มีใครอยากได้ แต่กลับล้ำค่ากว่าอะไรทั้งหมด กับนิทานเซนเรื่องสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในโลก

เนื้อเรื่องนิทานเซนเรื่องสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในโลก
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ สำนักเซนอันเงียบสงบในประเทศจีน ศิษย์หนุ่มคนหนึ่งได้เดินทางมาศึกษาธรรมกับอาจารย์เซนผู้เฒ่านามว่าโซซัน ซึ่งเป็นที่เลื่องลือถึงปัญญาเฉียบคมและถ้อยคำเปรียบเปรยที่พลิกความคิดคนฟังอยู่เสมอ
เช้าวันหนึ่ง ขณะที่หมอกจางเริ่มคลี่คลุมเนินเขา ศิษย์หนุ่มนั่งสงบอยู่ใต้ต้นสน เขายกมือประนมแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“ท่านอาจารย์… สิ่งใดคือของล้ำค่าที่สุดในโลก?”
โซซันนิ่งไปครู่หนึ่ง สายตาจับจ้องที่หมอกขาวไหลผ่านยอดเขา ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“หัวของแมวตาย”
ศิษย์หนุ่มขมวดคิ้วทันที เขาไม่เข้าใจว่าทำไมสิ่งที่ดูไร้ค่าเช่นนั้นถึงถูกกล่าวว่าเป็นของล้ำค่าที่สุดในโลก เขาถามต่อด้วยความเคารพ
“เหตุใด… หัวของแมวตายจึงเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดเล่าขอรับ?”
โซซันยิ้มบาง ๆ แต่แววตากลับนิ่งสงบดุจสระน้ำในยามไร้ลม
“เพราะไม่มีใครตั้งราคามันได้”
ศิษย์หนุ่มนิ่งไป เขาไม่ได้คำตอบแบบที่คาดหวัง แต่ในความเงียบนั้นกลับเต็มไปด้วยเสียงสะท้อนจากข้างใน

ศิษย์หนุ่มนั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง ยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูด เขายกถ้วยชาขึ้นจิบด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามต่อด้วยเสียงแผ่วเบา
“อาจารย์… ทำไมถึงต้องเป็นหัวแมวตายล่ะครับ?”
“สิ่งนั้นไม่น่ามีคุณค่าอะไรเลย มันไม่มีใครอยากได้ ไม่มีใครเก็บ ไม่มีใครขาย… หรือแม้แต่ชายตาแล”
โซซันพยักหน้าเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มจาง ๆ ที่มุมปาก เขาวางถ้วยชาลงบนโต๊ะไม้เก่าอย่างช้า ๆ
“เพราะไม่มีใครสามารถตั้งราคามันได้” เขาตอบเรียบ ๆ
“ไม่มีผู้ใดให้ค่า ไม่มีผู้ใดกำหนดราคา ไม่มีแม้แต่ความโลภเกี่ยวพัน สิ่งนี้จึงอยู่เหนือการแลกเปลี่ยน เหนือราคาค่างวด เหนือความยึดมั่นถือมั่นของผู้คน”
ศิษย์หนุ่มชะงักไป เขาหลุบตาลงต่ำ สำนึกบางอย่างเริ่มก่อตัวในใจ
โซซันยังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความนิ่งลึก
“สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในโลก… อาจมิใช่สิ่งที่เปล่งประกายหรือสะดุดตา แต่มันคือสิ่งที่พ้นไปจากการตีค่า พ้นไปจากการเปรียบเทียบ มันคือสิ่งที่ไม่มีใครอยากได้ แต่กลับสอนใจเราได้ลึกที่สุด”
เสียงลมเย็นโชยผ่านหน้าต่างห้องไม้หลังเก่าที่พวกเขานั่งอยู่ เงาไม้ทอดตัวลงบนพื้นอย่างเงียบงัน
ศิษย์หนุ่มยกถ้วยชาขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มือของเขาแน่นิ่ง แววตาเต็มไปด้วยความเข้าใจที่ลึกขึ้น
“ข้าคิดว่าข้าเริ่มเห็นเงาของคำตอบแล้วครับอาจารย์”
โซซันเพียงพยักหน้าเงียบ ๆ ไม่มีคำใดเพิ่มเติม เพราะในเซน บางครั้งความเข้าใจนั้นไม่ได้มาจากการอธิบาย แต่จากความเงียบระหว่างบรรทัด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความล้ำค่าแท้จริง อาจไม่ได้อยู่ในสิ่งที่คนทั้งโลกยกย่องหรือไขว่คว้า แต่กลับอยู่ในสิ่งที่ไม่มีผู้ใดต้องการ ไม่มีผู้ใดตั้งราคา ไม่มีใครแม้แต่คิดจะครอบครอง เพราะสิ่งเหล่านั้นพ้นไปจากความโลภและเปรียบเทียบ และนั่นเองคือสิ่งที่ “ล้ำค่าที่สุดในโลก”
ในเรื่องนี้ โซซันเลือก “หัวแมวที่ตายแล้ว” เป็นคำตอบให้ศิษย์ เพื่อสื่อให้เห็นว่าสิ่งที่ปราศจากมูลค่าในสายตามนุษย์ทั่วไป กลับเป็นสิ่งที่พ้นจากการตีราคา ไม่อาจแลกเปลี่ยน ไม่ถูกหลอกล่อด้วยความโลภหรือความอยาก เมื่อใดที่จิตใจเราสามารถมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่ไม่มีผู้ใดเห็น เมื่อนั้นเองเราจึงเข้าใกล้สัจธรรมยิ่งขึ้น
อ่านต่อ: นิทานเซนให้ข้อคิดชีวิตความสงบและการปล่อยวางตามวิถีเซนพุทธ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเซนเรื่องสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในโลก (อังกฤษ: The Most Valuable Thing in the World) มีต้นกำเนิดจากคำสอนของโซซัน (Sozan) พระอาจารย์เซนผู้มีชื่อเสียงในประเทศจีน ซึ่งมักใช้วิธีตอบคำถามด้วยคำพูดที่กระตุกต่อมคิด สั้นแต่ลึกซึ้ง
ในยุคของเขา มีการตั้งคำถามอยู่เสมอว่า “อะไรคือแก่นของธรรมะ” และ “อะไรคือของแท้ในโลกที่ไร้ตัวตน” การตอบว่า “หัวแมวที่ตายแล้ว” จึงไม่ใช่คำตอบแบบโลกๆ แต่คือคำเปรียบที่ชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่เกินจะตีค่าสิ่งที่ไร้ตัวตน ไม่อาจจับต้องหรือซื้อขายได้
คำตอบของโซซันจึงกลายเป็นโกอัน (Koan) หรือปริศนาธรรมที่ใช้ฝึกจิตและหยุดตรรกะซ้ำเดิม เพื่อให้ศิษย์เข้าถึงความจริงที่อยู่เหนือความคิด เหนือภาษาพูด และเหนือการเปรียบเทียบใด ๆ
นิทานเรื่องนี้ถูกเล่าขานในหมู่ศิษย์สายเซน และยังคงเป็นหนึ่งในเรื่องสั้นที่กระตุ้นให้ผู้อ่านย้อนกลับมาถามตนเองว่า “อะไรคือสิ่งที่แท้จริงและมีค่าที่สุด… ที่ไม่สามารถตีราคาได้?”
คติธรรม: “สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในโลก อาจไม่ใช่สิ่งที่มีราคาแพง หรือมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่คือสิ่งที่ไม่มีใครประเมินค่าได้ เพราะมันอยู่นอกเหนือการเปรียบเทียบ”