ปกนิทานชาดกเรื่องหนูที่กินคันไถ

นิทานชาดกเรื่องหนูที่กินคันไถ

ในโลกของมิตรภาพและความไว้วางใจ บางครั้งคำพูดเพียงประโยคเดียวก็อาจสร้างรอยร้าวที่ลึกยิ่งกว่าบาดแผลใดๆ ความซื่อสัตย์จึงเป็นรากฐานที่ไม่อาจมองข้าม หากปราศจากความจริงใจแล้ว แม้เพื่อนที่ดีที่สุดก็อาจกลายเป็นคนแปลกหน้าในพริบตา

มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงมิตรภาพของพ่อค้าสองคนที่ถูกทดสอบด้วยความโลภ การโกหก และปัญญา เรื่องราวนี้จะพาเราไปสำรวจว่า เมื่อความจริงถูกบิดเบือน ปัญญาจะสามารถคืนความยุติธรรมให้กลับมาได้หรือไม่ กับนิทานชาดกเรื่องหนูที่กินคันไถ

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องหนูที่กินคันไถ

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องหนูที่กินคันไถ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ เมืองพาณิชยกรรมที่คึกคักแห่งหนึ่ง มีพ่อค้าสองคนเป็นเพื่อนรักกันมาแต่เยาว์วัย คนหนึ่งชื่อราม อีกคนชื่อศยาม ทั้งสองต่างช่วยเหลือกันมาตลอด ไม่มีวันไหนที่ไม่แบ่งปันทั้งข่าวสาร การค้า และแม้แต่ความลับ

วันหนึ่ง รามต้องเดินทางไปค้าขายต่างเมืองนานหลายเดือน เขานำของมีค่าและเครื่องมือทำไร่ทำสวนฝากไว้กับศยาม รวมถึงคันไถไม้เนื้อแข็งที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ “ช่วยเก็บคันไถนี้ไว้ให้ดีนะ ข้ารักมันยิ่งกว่าเงินทองเสียอีก” รามพูดด้วยรอยยิ้ม

ศยามพยักหน้ารับ “วางใจเถิด ข้าจะดูแลให้เหมือนของข้าเอง”

แต่เมื่อรามจากไปได้ไม่นาน ศยามกลับมองคันไถนั้นด้วยแววตาโลภ เขานำมันไปขายให้กับช่างไม้ในเมืองได้เงินมาจำนวนหนึ่ง “ก็แค่ไม้เก่าๆ ใครจะมาคิดถึงมันนักหนา” เขาพึมพำกับตัวเอง แล้วใช้เงินนั้นซื้อเสื้อผ้าใหม่และกินอาหารหรูหรา

หลายเดือนผ่านไป รามกลับมาและรีบไปหาเพื่อนรัก “ข้ามารับคันไถของข้าคืน”

ศยามนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วทำหน้าเศร้า “ข้าเสียใจ… หนูกัดกินมันไปหมดแล้ว”

รามขมวดคิ้วทันที “หนู… กินคันไถไม้เนื้อแข็งทั้งอันน่ะหรือ”

“ใช่ ๆ พวกมันเยอะมาก ข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้”

รามไม่พูดอะไรต่อ แต่แววตาเยือกเย็น ต่างจากเพื่อนผู้แสร้งเศร้าอย่างเห็นได้ชัด

วันรุ่งขึ้น รามมาหาศยามอีกครั้ง คราวนี้เขานำของฝากมาให้ และเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ข้าอยากฝากลูกชายเจ้าสักครู่ ข้าจะไปเยี่ยมเพื่อนเก่า ขอให้เขาอยู่ที่นี่จนกว่าข้าจะกลับมา”

ศยามไม่เฉลียวใจแม้แต่น้อย ยิ้มกว้างแล้วตอบว่า “แน่นอน ฝากไว้ได้เลย”

รามพาเด็กชายไปยังบ้านของเพื่อนอีกคนซึ่งอยู่ห่างออกไป แล้วให้ดูแลอย่างดี

เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ศยามเริ่มวิตก เพราะลูกชายยังไม่กลับมา เขารีบไปหาราม “ราม ลูกข้าอยู่ที่ไหน!”

รามตอบอย่างสงบ “ขอโทษด้วย… นกตัวใหญ่มันบินมาแล้วพาเขาไปต่อหน้าต่อตาข้า”

ศยามเบิกตากว้าง “เจ้าพูดอะไรนะ นกจะมาพาเด็กคนหนึ่งไปได้อย่างไร”

รามยิ้มจาง ๆ “ก็เหมือนที่เจ้าบอกว่าหนูกินคันไถนั่นแหละ”

ศยามหน้าแดงด้วยโทสะ “เรื่องนี้ต้องถึงศาล!”

“ตามสบาย ข้าพร้อมจะเล่าความจริงทุกอย่าง”

ศยามจึงพารามไปยังศาลของเมือง ซึ่งเป็นสถานที่ตัดสินโดยผู้พิพากษาผู้เฒ่าผู้เปี่ยมด้วยสติปัญญา เรื่องราวกำลังจะพลิกผันไปอีกครั้ง…

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องหนูที่กินคันไถ 2

ภายในศาลกลางเมือง เสียงผู้คนเบา ๆ ซุบซิบเมื่อทั้งรามและศยามเดินเข้ามาพร้อมกัน ศยามแสดงท่าทีเดือดดาล ส่วนรามกลับสงบนิ่งดังสายลมฤดูหนาว

ผู้พิพากษาผู้เฒ่าผู้คร่ำหวอดในธรรมะนั่งอยู่เบื้องหน้า เขาเหลือบตามองทั้งสองแล้วกล่าวขึ้น “จงว่าความตามลำดับ เจ้าศยาม มีเรื่องอันใดหรือ”

ศยามรีบลุกขึ้น “ท่านผู้ทรงธรรม รามผู้นี้หลอกลวง เขาพาลูกข้าหายไป แล้วยังอ้างว่านกใหญ่บินมาพาไป! ข้าขอให้ท่านสืบหาความยุติธรรมให้ข้าด้วยเถิด”

ผู้พิพากษาพยักหน้าเบาๆ แล้วหันไปหาราม “เจ้าอ้างว่านกพาเด็กชายไปจริงหรือ”

รามลุกขึ้นโดยไม่ลังเล “ขอรับท่าน นกตัวใหญ่บินมาจากป่า แล้วโฉบลูกชายเขาไปต่อหน้าข้า”

ศยามโพล่งออกมาทันที “เป็นไปไม่ได้! ไม่มีนกใดจะพาเด็กคนหนึ่งไปได้!”

รามหันมาช้า ๆ ดวงตาแน่วนิ่ง “ถ้าเช่นนั้น ท่านเชื่อหรือว่า หนูกินคันไถไม้เนื้อแข็งได้ทั้งอัน?”

ผู้พิพากษาชะงัก มองศยามอย่างจับสังเกต “ข้าไม่เข้าใจ… เรื่องคันไถเกี่ยวอะไรด้วย” ศยามพูดเสียงอ่อย

รามจึงเล่าเรื่องทั้งหมด ตั้งแต่การฝากคันไถ การกลับมา และคำโกหกของศยาม

เมื่อจบความ เงียบก็แผ่ปกคลุมไปทั่วห้องพิพากษา

ผู้พิพากษาหลับตาครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ศยาม เจ้าโกหกว่า หนูกินคันไถไม้ได้ทั้งอัน เพื่อหวังผลประโยชน์ส่วนตน แต่เจ้ากลับไม่เชื่อเมื่อนกพาเด็กไป หากเจ้าไม่ยอมรับความเท็จของตน แล้วจะมีเหตุผลอันใดที่เราต้องเชื่อเจ้ามากกว่าเขา”

ศยามก้มหน้าลง ร่างทั้งร่างดูเล็กลงทันใด เขาเอ่ยเสียงเบา “ข้ายอมรับ… ข้าขายคันไถไปจริง ข้าทำผิดเพราะโลภ”

ผู้พิพากษาพยักหน้า “เช่นนั้นจงคืนเงินจากการขายคันไถให้แก่ราม แล้วรามจึงจะคืนลูกเจ้า”

รามพยักหน้าช้าๆ “ข้าไม่ต้องการเอาคืนด้วยความแค้น ข้าเพียงต้องการความยุติธรรม และให้เขาได้เรียนรู้”

ศยามรับเงินมา คืนให้ราม และไม่นานนัก เด็กชายก็กระโจนเข้ามากอดผู้เป็นพ่อด้วยความดีใจ “ขอบใจเจ้าราม… และขอโทษจากใจจริง”

“มิตรภาพไม่ควรถูกแลกด้วยคำลวง ถ้าเจ้ารู้เช่นนี้แล้ว เราอาจเริ่มต้นใหม่ได้”

จากวันนั้น ศยามเปลี่ยนตนเองใหม่ ไม่เพียงแต่เป็นพ่อค้าที่ซื่อสัตย์ แต่ยังเป็นเพื่อนแท้ที่เรียนรู้จากความผิด รู้จักความจริง และเห็นคุณค่าของคำว่า “ความไว้ใจ”

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องหนูที่กินคันไถ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความซื่อสัตย์คือรากฐานของมิตรภาพและความยุติธรรม เพราะเมื่อคำพูดขาดความจริงใจ ความเชื่อถือก็ย่อมพังทลายตามไปด้วย การโกหกเพื่อผลประโยชน์อาจดูชาญฉลาดในระยะแรก แต่ท้ายที่สุดแล้ว ความจริงย่อมเผยตัว และผู้ที่ใช้สติและปัญญาจะสามารถพลิกสถานการณ์กลับคืนสู่ความยุติธรรมได้เสมอ

รามไม่ได้โต้ตอบความหลอกลวงของศยามด้วยความโกรธ แต่เลือกใช้สติและการเปรียบเทียบอย่างมีชั้นเชิง เพื่อสะท้อนความไม่สมเหตุสมผลของคำโกหก กลับไปยังผู้พูดเอง เมื่อความจริงถูกเปิดเผย ผู้พิพากษาจึงสามารถตัดสินได้อย่างเที่ยงตรง ชาดกเรื่องนี้จึงเน้นย้ำถึงคุณค่าของความจริง การรู้จักอดทน และการตอบสนองอย่างมีปัญญาในเวลาที่ถูกเอาเปรียบ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานชาดกเรื่องหนูที่กินคันไถ (อังกฤษ: The Mice Which Ate the Plough) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ โดยเน้นการใช้สติปัญญาและวาทะในการชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบธรรมของผู้อื่น โดยไม่ต้องอาศัยความรุนแรงหรือการตอบโต้ด้วยโทสะ และชาดกเรื่องยังเป็นชาดกแนวอุบายธรรม หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์ใช้ปัญญาในการชี้ให้เห็นความไม่ถูกต้องของผู้อื่นผ่านเหตุผลและการเปรียบเทียบอย่างแยบคาย เพื่อให้เกิดความเข้าใจในธรรมะและความยุติธรรม

พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งถูกสงสัยว่าไม่ซื่อสัตย์ในการเก็บรักษาทรัพย์ของผู้อื่น พระองค์จึงตรัสเล่าชาดกในอดีตชาติที่พระองค์เกิดเป็นพ่อค้า ผู้ใช้ไหวพริบและเหตุผลเปรียบเปรย เพื่อนำความจริงออกมาเปิดเผยต่อหน้าศาล ด้วยใจสงบนิ่งและไม่แสดงความโกรธต่อผู้กระทำผิด

ชาดกเรื่องนี้สอนให้เห็นว่า ความยุติธรรมไม่จำเป็นต้องอาศัยพละกำลัง หากแต่เกิดจากปัญญา สติ และการตั้งมั่นในความจริง ความซื่อสัตย์เป็นรากฐานของศรัทธาในสังคม และเมื่อมีผู้กล้าใช้ความจริงเปิดโปงคำลวง ความยุติธรรมก็จะกลับคืนมาเองในที่สุด

คติธรรม: “ผู้พูดเท็จย่อมต้องสร้างคำลวงซ้อนลวง แต่ผู้ยึดมั่นในความจริง ย่อมมีสติเป็นเกราะ ปัญญาเป็นแสง และธรรมะเป็นที่พึ่ง”


by