ในโลกของธรรมชาติที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การล่าและการแย่งชิงเป็นเรื่องปกติ สิงโตและหมี ผู้ซึ่งขึ้นชื่อในความแข็งแกร่ง ต่างก็ออกล่าเพื่อความอยู่รอด แต่เมื่อทั้งสองพบกันโดยบังเอิญ เหยื่อตัวเดียวกันกลับกลายเป็นชนวนของความขัดแย้ง
เรื่องราวที่ตามมานั้น จะเผยให้เห็นถึงผลลัพธ์ของความโลภ และบทเรียนที่คาดไม่ถึงจากผู้ฉวยโอกาส กับนิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหมี
เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหมี
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว สิงโตผู้ทรงพลังเดินวนไปมาริมลำธาร มันกำลังมองหาเหยื่อที่เหมาะสมสำหรับมื้ออาหาร ขณะเดียวกัน หมีตัวใหญ่ที่หิวโหยก็เดินเตร่ไปทั่วบริเวณเดียวกัน และแล้ว โชคชะตาก็พาทั้งสองมาพบกันตรงจุดหนึ่งของลำธาร ที่นั่น ลูกกวางตัวเล็กยืนดื่มน้ำอย่างไม่รู้ตัวว่าถูกจับจ้องโดยสองนักล่าผู้ยิ่งใหญ่
“ข้าจะเอาลูกกวางตัวนี้” สิงโตคำรามออกมาเสียงดัง ขณะที่ก้าวเข้าหากวางตัวน้อย
หมีขวางทางเอาไว้ มันจ้องสิงโตด้วยสายตาดุดัน “ข้าพบมันก่อน มันต้องเป็นของข้า!”
“เจ้าเรียกตัวเองว่านักล่าหรือ?” สิงโตเย้ยหยัน “กวางตัวนี้คู่ควรกับเจ้าป่ามากกว่าเจ้าเสียอีก!”
หมีตอบกลับด้วยเสียงคำราม “เจ้าอาจเรียกตัวเองว่าเจ้าป่า แต่ในวันนี้ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าได้สิ่งที่ข้าล่า เจ้าอาจเก่งในเรื่องคำราม แต่ข้าจะให้เจ้าดูว่ากรงเล็บข้านั้นแหลมคมเพียงใด!”
สิงโตและหมีไม่ยอมกัน พวกมันพุ่งเข้าหากันและเริ่มต่อสู้อย่างดุเดือด เสียงคำรามและเสียงกรงเล็บข่วนดังไปทั่วบริเวณ ทั้งสองใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อพิสูจน์ว่าใครสมควรได้ลูกกวางตัวนั้น การต่อสู้นั้นยืดเยื้อและรุนแรงจนกระทั่งทั้งสองต่างหมดแรง พวกมันล้มตัวลงนอนหอบอยู่ทั้งคู่ ขณะที่ลูกกวางยังคงยืนตัวสั่นอยู่ระหว่างกลาง
“พอเถอะ” สิงโตพูดพลางหอบหนัก “ข้าขอพักก่อน แล้วข้าจะกลับมาจัดการเจ้าอีกครั้ง”
หมีที่หายใจหอบไม่แพ้กันตอบกลับ “ข้าก็คิดเหมือนเจ้า เราทั้งคู่ต้องการเวลาฟื้นกำลังก่อน”
พวกมันทั้งสองนอนนิ่งอยู่กับพื้น แต่ไม่ได้สังเกตว่าสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งที่เฝ้ามองอยู่จากระยะไกลมาตลอด กำลังฉวยโอกาส
สุนัขจิ้งจอกเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มันมองไปที่ลูกกวางซึ่งยืนอยู่ระหว่างสิงโตและหมีที่หมดเรี่ยวแรง สุนัขจิ้งจอกหัวเราะในใจ “นี่เป็นวันโชคดีของข้าจริง ๆ สองตัวนี้ล่าแทนข้า แถมยังทำให้ข้าได้ของขวัญชิ้นใหญ่ไปโดยง่าย”
มันพุ่งเข้าไปคว้าลูกกวางและรีบวิ่งออกไปโดยไม่ทิ้งร่องรอย ทั้งสิงโตและหมีที่หมดแรงเกินกว่าจะลุกขึ้นมา ได้แต่มองสุนัขจิ้งจอกลากลูกกวางไปด้วยความสิ้นหวัง
“นี่มันอะไรกัน!” สิงโตพูดด้วยเสียงเหนื่อยอ่อน “ข้าคิดว่าเรากำลังต่อสู้เพื่อกำหนดว่าใครจะได้ลูกกวาง แต่กลับเป็นว่าข้าเหนื่อยเปล่าเพื่อเจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวนั้น!”
หมีถอนหายใจยาว “ข้าก็เหมือนกัน พวกเราช่างโง่เขลานัก เราทั้งคู่ต่อสู้จนหมดแรง แต่สุดท้ายแล้ว สุนัขจิ้งจอกก็ได้ทุกอย่างไปโดยที่มันไม่ต้องลงแรงอะไรเลย”
สิงโตพยักหน้าอย่างขมขื่น “นี่เป็นบทเรียนสำหรับเรา ต่อไปข้าจะไม่ยอมปล่อยให้ความโกรธหรือความโลภทำให้ข้ามองข้ามสิ่งที่สำคัญอีก”
ทั้งสองนอนนิ่งอยู่ด้วยความเหนื่อยล้าและความเสียใจ ขณะที่สุนัขจิ้งจอกหายลับไปในป่าพร้อมลูกกวางตัวอ้วน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ในขณะที่บางคนลงแรงต่อสู้หรือทำงานหนักเพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผู้ที่ฉลาดและรู้จักฉวยโอกาสอาจเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไปได้อย่างง่ายดาย การต่อสู้ที่เกิดจากความขัดแย้งและความโลภอาจทำให้เราสูญเสียทั้งพลังและผลลัพธ์ที่เราต้องการ หากเราไม่ระวัง การปล่อยให้อารมณ์ครอบงำ อาจทำให้เรากลายเป็นเหยื่อของผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น จงใช้สติและมองให้รอบด้านในทุกสถานการณ์
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหมี (อังกฤษ: The Lion and the Bear) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 147 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานนี้มีรูปแบบคล้ายคลึงกันทั้งในตะวันออกและตะวันตก ซึ่งเล่าเรื่องเกี่ยวกับผู้โต้แย้งสองฝ่ายที่ต้องเสียสิ่งที่แย่งชิงกันไปให้กับบุคคลที่สาม นิทานเรื่องนี้ยังคล้ายกับเรื่องสิงโตกับหมูป่า
ในนิทานนี้ สิงโตและหมีโจมตีลูกกวางพร้อมกัน และต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงเหยื่อจนหมดแรงล้มลง ในขณะเดียวกัน สุนัขจิ้งจอกที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่คว้าเหยื่อของพวกมันไปอย่างง่ายดาย แพนทาเลออน แคนดิดัส (Pantaleon Candidus) ได้ให้ข้อคิดตอนจบว่า
“บ่อยครั้งที่ผู้หนึ่งลงแรงทำงาน แต่ผลประโยชน์กลับตกเป็นของผู้อื่น”
นิทานเรื่องนี้ดูเหมือนจะถูกนำเข้ามาในคอลเลกชันนิทานอีสปที่ตีพิมพ์ผ่านแหล่งข้อมูลนี้