ปกนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องตำนานพระขวาง

นิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องตำนานพระขวาง

ใต้เงาไม้ริมแม่น้ำ ณ เมืองชุมพร มีวัดเล็ก ๆ หลังหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในความเงียบ ผู้คนผ่านไปมาด้วยศรัทธา… และบางครั้งก็ดูคล้ายความระแวง กลางลานวัดนั้น มีพระพุทธรูปองค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ ทอดพระเนตรนิ่งไม่กระพริบ

มีตำนานนิทานพื้นบ้านไทยจากแดนใต้ ว่ากันว่าพระองค์นี้มิได้สร้างขึ้นโดยมือมนุษย์ หากลอยมาตามน้ำจากแดนไกล และไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า… พระองค์เลือกจะมาหยุดอยู่ที่นี่เอง หรือถูกบางสิ่งส่งมา ชื่อของพระองค์คือสิ่งเดียวที่ไม่มีใครกล้าลืม กับนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องตำนานพระขวาง

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องตำนานพระขวาง

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องตำนานพระขวาง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ว่ากันว่าก่อนหน้ามีวัดใดตั้งอยู่ ณ ตำบลขุนกระทิงนั้น ที่ตรงนั้นเป็นเพียงฝั่งน้ำรกร้าง ไผ่รกทึบคลุมฝั่ง สายน้ำไหลเนิบอยู่ใต้เงาร่มไม้ ตกดึกเสียงแมลงลึกล้ำดังปะปนเสียงลมซู่ พายเรือผ่านก็ไม่มีผู้กล้าแลขึ้นฝั่ง

วันหนึ่งเมื่อยามน้ำหลากแรงกว่าทุกปี ฝูงคนริมตลิ่งชะโงกดูท้องธาร ก็แลเห็นสิ่งหนึ่งลอยพ้นทิวคลื่นมาแต่ไกล รูปทรงประหลาดดั่งพระพุทธรูปองค์ใหญ่ สีคล้ำคราบน้ำ แสงแดดยามบ่ายส่องต้องผิวองค์พระแล้วกระทบตาผู้คนให้ต้องยกมือไหว้ด้วยแรงศรัทธา

“เป็นพระแน่แท้ ลอยมาติดตรงหน้าเรือนร้างนี้ดังมีเหตุ บางทีฟ้าส่งมา”

เมื่อข่าวกระฉ่อนไปทั้งหมู่บ้าน บรรดาชายฉกรรจ์จึงพร้อมกันเอาเชือกเส้นใหญ่ผูกองค์พระหมายจะลากขึ้นฝั่ง แต่เชือกก็ขาดบ้าง ลื่นบ้าง ดึงเท่าไรก็ไม่ขึ้นสักครา

ค่ำนั้นเอง ชายผู้หนึ่งนอนหลับอยู่ในกระท่อมริมน้ำ พลันสะดุ้งกลางดึกเพราะฝันประหลาด เห็นองค์พระลุกขึ้นนั่งกลางลำน้ำ สายสิญจน์เจ็ดเส้นพันรอบองค์ ดอกไม้บานพรึบเต็มตลิ่ง พระองค์เอื้อนโอษฐ์กล่าวเสียงเบา

“จงสร้างที่อยู่ให้เราเถิด แล้วพันเราไว้ด้วยสายสิญจน์เจ็ดเส้น เราจึงจักขึ้นจากน้ำโดยมิขัดขืน”

รุ่งเช้า เขารีบแจ้งแก่ชาวบ้านทุกคน จึงพร้อมใจกันสร้างศาลารองรับอย่างเร่งรีบ แล้วนำสายสิญจน์มาเจ็ดเส้น พันรอบองค์พระตามนิมิตเป๊ะทุกถ้อยคำ

เมื่อสิ้นการพัน มิต้องออกแรงใด องค์พระพลันเลื่อนขึ้นจากน้ำราวถูกดึงด้วยมือที่ไม่มีใครเห็น ผู้คนต่างร้องอุทานด้วยศรัทธาและความสะพรึงในสิ่งเร้นลับนั้น

นับแต่นั้นมา พระพุทธรูปองค์นั้นจึงได้ประดิษฐาน ณ วัดซึ่งตั้งขึ้นใหม่ และได้ชื่อว่า “พระขวาง” เพราะขวางน้ำ ขวางทาง ขวางทุกอย่างที่มาโดยบังเอิญ

วันเวลาผ่านไป วัดพระขวางเป็นที่นับถือของผู้คนยิ่ง ทั้งในบ้านนอกเมืองไกล ลือกันว่าพระศักดิ์สิทธิ์นัก ขอสิ่งใดก็สมหวัง วัดเจริญรวดเร็ว พระ เณร เริ่มมาพำนักอยู่มิขาด

แต่สิ่งประหลาดก็เริ่มแทรกเข้ามาทีละน้อย พระรูปหนึ่งหายไปตอนย่ำรุ่ง ไม่มีร่องรอย เณรรูปหนึ่งหายไปในคืนฝนพรำ ไม่มีแม้เสียงขอความช่วยใด ๆ

ข่าวเริ่มกระซิบกระซาบ “พระขวางกินพระ”
“องค์พระนั้นมีของอยู่ใน”
“ยามกลางคืน…อย่าเข้าไปใกล้โบสถ์”

กระทั่งคืนหนึ่ง ชายชาวบ้านผู้กล้าบังอาจซ่อนตนเฝ้าดูใต้พุ่มไม้ใกล้อุโบสถ ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ไม่เต็มดวง เขาเห็นเงาดำใหญ่ค่อย ๆ ขยับจากองค์พระ หัวใจเขาเต้นแรงจนเกือบร้องตะโกน

เงานั้นมีเศียรพระแต่กายเป็นมืดหม่น รูปเงาเคลื่อนยื่นแขนออกไปคว้าสามเณรที่นั่งปฏิบัติธรรมอยู่องค์เดียวในมุมมืด

เณรหายไปทันที ไม่มีเสียง ไม่มีดิ้น ไม่มีแม้คำอธิษฐาน

เช้ารุ่งขึ้น ชายคนนั้นนำเรื่องไปแจ้งเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนกล่าวเบา ๆ ว่า

“ใช่แล้ว…เราเคยได้ยินเสียงจากในพระองค์”

แล้วท่านจึงเอายันต์โบราณจากหีบไม้แดงมาปิดช่องที่ฐานพระ พร้อมสั่งให้เจาะออกในส่วนลับภายในองค์นั้น และพบสิ่งหนึ่ง ลูกปรอทขนาดใหญ่ กลิ้งวนอยู่ภายในดั่งหัวใจที่ไม่หยุดเต้น

ทันทีที่นำปรอทออก วัดกลับเข้าสู่ความสงบ ไม่มีใครหายไปอีกเลย

แต่ถึงกระนั้น ชาวบ้านยังคงเหลียวหลังทุกคราวที่เดินผ่านพระองค์นั้น และเรียกพระท่านด้วยทั้งความเคารพและกลัวอยู่ลึก ๆ ว่า… พระขวาง

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องตำนานพระขวาง 2

ครั้นนำลูกปรอทออกจากองค์พระ วัดพระขวางก็กลับเงียบสงบลงอย่างประหลาด พระและเณรไม่หายอีกต่อไป เสียงลือเสียงเล่าก็จางไปตามกาล ใครบางคนว่าทุกอย่างเป็นเพียงความบังเอิญ ใครบางคนว่าเป็นเรื่องอุปาทานของคนบ้านป่า

แต่ในยามค่ำคืนเมื่อไร้แสงตะเกียง เงาองค์พระยังคงทอดยาวผิดธรรมดา และผู้คนยังคงไม่กล้าผ่านหน้าอุโบสถหลังนั้นลำพัง

“เหมือนพระยังเฝ้ามองอยู่…” เสียงกระซิบเหล่านี้ยังดำรงอยู่ในความทรงจำของผู้คนละแวกนั้น

ต่อมามีพระภิกษุจากเมืองไกลรูปหนึ่ง เดินธุดงค์ผ่านมา เขาขอจำพรรษาในวัดพระขวาง ด้วยกล่าวว่าท่านมิได้เกรงกลัวสิ่งใดในโลก

เมื่อค่ำคืนล่วงสู่คืนที่สาม พระรูปนั้นก็มิได้ออกบิณฑบาตในรุ่งเช้า ใคร ๆ คิดว่าคงล้าเพลียด้วยการภาวนา หากครบสามวันยังไม่พบ ท่านเจ้าอาวาสจึงให้ศิษย์เปิดกุฏิเข้าดู

ภายในเงียบเย็น กระเป๋าสัมภาระยังอยู่ครบ ธูปหน้ารูปพระขวางกลับถูกจุดไว้ใหม่ ดอกไม้แห้งกลีบหลุดเพิ่งร่วง คนจึงคิดกันว่าพระรูปนั้น หายไปกับองค์พระ เหมือนเช่นวันวานอีกครา

เมื่อเรื่องถึงหูผู้ใหญ่ในบ้านเมือง จึงมีคำสั่งจากทางกรมศาสนาให้ตรวจสอบองค์พระขวางอีกครา มีการนำผู้รู้ทางไสยเวทมาทำพิธีปลดปริศนา หลายรูป หลายคน ต่างเข้ามาและกลับออกไปพร้อมความเงียบ

บางรายสิ้นเสียงพูดไปครึ่งวัน บางคนเพ้อเพียงว่า “องค์นั้นมิใช่พระธรรมดา…องค์นั้นรู้ตัวเองว่ามีคนกลัว”

จวบจนทุกวันนี้ องค์พระขวางยังคงตั้งอยู่ภายในอุโบสถวัดพระขวาง จังหวัดชุมพร ไม่เอน ไม่ล้ม และไม่เคลื่อนไหวใด ๆ

แต่ชาวบ้านเล่าว่า ในคืนฝนหล่นเงียบ หากยืนฟังดี ๆ หน้าบานประตูไม้ จะได้ยินเสียงสวดพระธรรมเพียงคำเดียวซ้ำไปซ้ำมา…

“ขวาง…ขวาง…ขวาง…”

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องตำนานพระขวาง 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ศรัทธานั้นงอกจากใจ แต่หากหว่านบนความไม่รู้ มันอาจเติบโตกลายเป็นความกลัว หรือแม้กระทั่งเงาของคำสาป

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดที่ผู้คนเคารพบูชา หากมิได้มองด้วยปัญญา ก็อาจกลายเป็นเครื่องกลืนใจและชีวิต เหลือไว้เพียงรูปเคารพอันหนักแน่น… ที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงเสียงเบา

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องตำนานพระขวาง โดย “พระขวาง” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์สำคัญ ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระขวาง ตำบลขุนกระทิง อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร

ตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาหลายชั่วคน กล่าวว่าพระองค์ลอยน้ำมาจากพม่าหรือแถบตะวันตก แล้วมาติด “ขวาง” อยู่หน้าวัดร้างเดิมริมแม่น้ำ ชาวบ้านพยายามลากขึ้นฝั่งแต่ไม่อาจขยับ จนเกิดนิมิตฝันให้สร้างที่ประดิษฐานและพันสายสิญจน์เจ็ดเส้น จึงจะสามารถอัญเชิญขึ้นได้เมื่อลงมือทำตาม ก็สามารถเคลื่อนพระองค์ได้ดั่งปาฏิหาริย์

นิทานนี้ปรากฏร่องรอยชัดของการผสมระหว่างความเชื่อทางพุทธศาสนา กับภูตผีวิญญาณ และการอธิบายสิ่งลี้ลับผ่านความศรัทธาแบบพื้นบ้าน ซึ่งมักพบในนิทานภาคใต้หลายเรื่อง เช่น พระพุทธรูปลอยน้ำ พระที่กินคน พระที่มีวิญญาณในองค์ ฯลฯ

เรื่องราว “พระกินเณร” อาจเป็นภาพแทนของความหวาดกลัวที่ผู้คนมีต่อสิ่งที่เข้าไม่ถึง หรืออาจเป็นนิทานเตือนใจในรูปแบบมุขปาฐะ เพื่อเน้นย้ำว่าการเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้องมาพร้อมกับปัญญาและสติ มิใช่เพียงศรัทธาตื้น ๆ

การกล่าวถึง “ลูกปรอทในองค์พระ” ก็สะท้อนความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับพลังเร้นลับในวัตถุมงคล โดยเฉพาะในภาคใต้ที่ผสมผสานไสยเวทกับพุทธธรรมอย่างแนบแน่น

จึงอาจกล่าวได้ว่าตำนานพระขวาง คือกระจกสะท้อนความกลัว ความศรัทธา และความพยายามเข้าใจสิ่งลี้ลับ ของผู้คนท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง และยังคงทำหน้าที่นั้นเรื่อยมาจนทุกวันนี้

“บางศรัทธา ไม่ต้องการให้เข้าใกล้… บางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีไว้กราบ แต่ไม่ใช่เพื่อเข้าใจ”