นิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องตำนานเขาช้าง

ปกนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องตำนานเขาช้าง

ณ แดนใต้ซึ่งมีภูเขาตั้งเรียงราย ลำน้ำคดเคี้ยว และป่าลึกดั่งปริศนา มีเขาลูกหนึ่งตั้งตระหง่าน เรียกกันว่า “เขาช้าง” ผู้เฒ่าผู้แก่ไม่เคยพูดถึงมันเฉย ๆ หากเล่าพร้อมแววตาหนักแน่น กับเสียงแผ่วเหมือนลมหอบคำสาปผ่านมา

มีเรื่องเล่านิทานพื้นบ้านไทย ว่าก่อนที่เขานั้นจะเป็นหิน ก่อนที่เลือดจะหยดลงในถ้ำ และก่อนที่ชื่อพังงาจะกลายเป็นเมือง มีชายผู้หนึ่งตามล่าด้วยหัวใจแตกสลาย มิใช่เพื่อสิ่งใด… หากเพียงเพื่อให้บางอย่างตายในมือเขาเท่านั้น กับนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องตำนานเขาช้าง

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องตำนานเขาช้าง

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องตำนานเขาช้าง

แต่ก่อนกาลยังมีพี่น้องอยู่คู่หนึ่ง อาศัยเรือนที่แดนประจวบคีรีขันธ์ พี่ชื่อยมดึงเป็นชาย หน้าตาเคร่งขรึม น้องชื่อยมโดย เป็นหญิง มีใจอ่อนโยนรักครอบครัวมั่น ไม่ห่างสองพี่น้องไปไหน วันคืนล่วงลับอยู่ดีในร่มไม้ชายคา สายลมหอมจากภูผากรุ่นมาเยือนไม่รู้สิ้น

หากเคราะห์กรรมก็มาแทรกกลางความผาสุก นางยมโดยสิ้นใจลงเพราะไข้ลมแรงกระทันหัน ทิ้งยมดึงผู้เป็นพี่ให้ยืนร้างอยู่กับความเวิ้งว้างในใจ มิอาจทานทนอยู่ถิ่นเดิม ยมดึงละเรือนหนีความเศร้า เดินดุ่มไปตามยถากรรม ผ่านป่าเขา ลำน้ำ จนบรรจบปลายคลองแสงในแดนสุราษฎร์ธานี

ณ ที่นั้น ยมดึงพบบุรุษเฒ่าผู้หนึ่งนามว่าโจงโดง อาศัยอยู่ในละแวกบ้านไกรสร มีอาชีพหาน้ำมันชันจากต้นยาง ยมดึงจึงอ้อนขอพำนักไว้ แลแทนคุณด้วยแรงกายและน้ำใจมานะ

เฒ่าโจงโดงเมื่อเห็นหนุ่มผู้ขยันหนักแน่น ไม่บ่นปากแม้แดดแรงฝนพรำ ก็มีใจเมตตายิ่ง ถึงขั้นยกธิดานางหนึ่งนามว่า ทองตึง ให้เป็นคู่ครองของยมดึง

“น้องหญิงผู้นี้ แม้นยังสาว แต่รู้จักงานเรือนดีนัก ขอให้เจ้าอย่าให้ชอกใจแก่กันเป็นพอ”

ยมดึงยอบตัวรับคำ วางดวงใจลง ณ ที่ซึ่งฟ้าลิขิต

ครั้นมีครอบครัวแล้ว ยมดึงก็ถากถางพื้นที่ปลูกข้าว ทำไร่ผักจนเขียวชอุ่ม ทว่าวันหนึ่งกลับเกิดเหตุไม่คาดคิด โขลงช้างป่าฝูงใหญ่ได้บุกทำลายพืชผลทั้งไร่ สวนผลไม้ของยมดึงถูกเหยียบย่ำ พืชไร่กลายเป็นโคลนตม

“ครั้งเดียวข้ายังอภัย แต่หากพวกเจ้ากลับมาอีก…จะได้รู้รสของหอกเหล็ก!”

ยมดึงพยายามไล่ช้างหลายคราว แต่โขลงนั้นก็หวนกลับมาทำลายอีกจนความอดกลั้นในใจกลายเป็นเพลิงแค้น ตั้งสัตย์ในใจว่าจะล้างโขลงนี้ให้สิ้นไม่เว้นตัว

ในคราวเดียวกันนั้น มีชายเร่ค้าแห่งเมืองพุมเรียงนาม ตางุ้ม กำลังเดินทางจากไชยาไปค้าขายยังเขาพนม เตรียมต่อทางไปตะกั่วป่า เขามีช้างคู่หนึ่ง ช้างพังหนึ่งพลายหนึ่ง ไว้ใช้ขนสินค้าบนหลัง เป็นช้างเชื่องแต่แกร่งดั่งทหารแห่งพงไพร

ระหว่างพักอยู่ ณ เชิงเขา โขลงช้างป่าที่หนีจากยมดึงพลันวิ่งพรวดออกจากแนวไม้หนา ช้างพลายของตางุ้มเมื่อแลเห็นช้างพังในโขลงป่า หน้าตางามระหงอ่อนหวานสะท้านใจ ก็พลันกระชากปลอกเท้าขาด วิ่งถลันเข้าใส่ฝูงช้างป่าด้วยใจรักอันร้อนรน

เสียงช้างพลายตางุ้มคำรามก้อง ช้างป่าฝูงใหญ่แตกกระเจิง ฝุ่นตลบป่า ฝ่ายยมดึงซึ่งสะกดรอยตามโขลงนั้นมากลับมิรู้ว่าเกิดเหตุใด เห็นแต่ช้างแตกฝูงหนี ก็สำคัญผิดคิดว่าช้างพลายของตางุ้มเป็นหนึ่งในพวกทำลายไร่

“เจ้าช้างดื้อด้าน ข้าจักให้เจ้าได้ลิ้มคมหอกข้าแน่!”

ยมดึงจึงเริ่มไล่ล่าช้างผิดเชือกนั้นอย่างไม่ลดละ พร้อมสุนัขซื่อสัตย์คู่ใจ

ฝนเริ่มตั้งเค้า คลื่นเสียงฟ้าครืนในป่าไกล มิอาจดับไฟในใจยมดึงที่ลุกโชติช่วงจากคำว่า “แค้น”

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องตำนานเขาช้าง 2

ยมดึงไล่ล่าช้างอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ทั้งป่าใหญ่และภูเขาสูงผ่านไปไม่รู้กี่ลูก แม้คลองสกซึ่งน้ำไหลเชี่ยวนัก ยังไม่อาจกั้นใจแค้นของชายผู้ถือลมหายใจของการล่าไว้แทนบุญคุณ

ในยามหนึ่ง ช้างพังตัวหนึ่ง วิ่งหนีตื่นตกใจ ขณะท้องใหญ่ใกล้คลอด พลาดพลั้งตกน้ำที่เชี่ยวกราก แรงกระแทกแห่งสายน้ำทำให้มันออกลูกทันที ลูกช้างพลัดจากท้องมารดา จมหายแล้วกลายเป็นหิน ณ กลางธารนั้น ผู้คนจึงเรียกหินนั้นว่า “หินลูกช้าง” มาจนทุกวันนี้

ยมดึงยังไม่หยุด ตามรอยลากหอกต่อไป เส้นทางที่หอกครูดลากกลายเป็นร่องน้ำแทรกผืนดินแห้ง ในภายหลังผู้คนจึงเรียกที่นั้นว่า “บางลากหอก”

เมื่อผ่านเขตพนม ยมดึงเข้าสู่ช่องเขาอันรกทึบ ช่องหนึ่งมีม้าป่าหันมาแลตนก่อนวิ่งหายลับเข้าดง ช่องนั้นจึงได้ชื่อว่า “ช่องม้าเหลียว”

เมื่อเกือบไล่ทัน พลันยกปืนยาวบรรจุดินปืน ตั้งใจจ้องยิง แต่กระสุนกลับพลาดเป้า ไปตกบริเวณไม่ไกลนัก ผู้คนจึงเรียกพื้นที่นั้นว่า “ช่องลูกปลาย”

โกรธนัก เขาขว้างปืนทิ้ง ปืนพุ่งลอยไปตกกลางเขาลูกหนึ่ง จึงเป็นที่มาของ “เขาโยน”

ยิ่งตาม ยิ่งลึก ยิ่งเหนื่อย ยมดึงจึงปล่อยให้หมาคู่ใจล่าต่อ หมาวิ่งไล่แลน (ตัวเงินตัวทอง) ที่วิ่งหนีลงรูบนเขา แต่ก็ถูกหมาตะปบตรงหาง หางแลนหลุดคารู ผู้คนจึงเรียกที่นั้นว่า “แลนคารู” หมาเงยหน้าหอนยาว เรียกอีกที่ว่า “ย่านหมาแหงน”

ยมดึงเห็นแลนวิ่งหนีก็ขว้างพร้าใส่ แต่วืด พร้าไปปักเขาจนหัก ที่นั้นได้ชื่อ “เขาพร้าหัก”

ต่อมา ฝนตกหนักจนต้องทิ้งดินปืนไว้ในถ้ำหนึ่ง กลายเป็น “ถ้ำดินปืน” ตามคำเล่าขาน

ช้างพลายของตางุ้มหนีต่อไม่หยุด จนไปนอนแน่นิ่งในป่าแห่งหนึ่ง เมื่อตายมดึงตามมาถึง ก็เรียกที่นั่นว่า “บ้านช้างนอน”

ผ่านช่องเขาที่หินวางแผ่นใหญ่ เขาหยุดลับหอกจนแหลมคม เรียกภูเขานั้นว่า “เขาหินลับ”

เมื่อเข้าถึงป่าทึบแห่งเมืองพังงา ตายมดึงปืนขึ้นเขา ส่องดูช้าง จึงเรียกที่ที่ยืนว่า “ทุ่งคาโง่ก”

เมื่อได้จังหวะ ยมดึงพุ่งหอกแทงเข้าที่ขาช้าง เลือดพุ่ง ช้างร้องลั่น ขาหนึ่งพิการ พื้นที่นั้นจึงได้ชื่อ “บ้านแผล”

ช้างหนีต่อด้วยร่างอ่อนแรง จนหมอบอยู่กลางแดดแรงกล้า กลายเป็น “บ้านตากแดด” และสุดท้าย หอกตายมดึงแทงซ้ำเข้าท้องช้าง เลือดทะลักจนท่วมพื้นดิน

กายช้างพลายใหญ่แกร่งนั้น พลันกลายเป็นหินกลางแดน กลายเป็น “เขาช้าง”

ส่วนท้องที่ถูกแทง กลายเป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่ เรียกว่า “ถ้ำพุงช้าง”

ยมดึงยังไม่สิ้นเพลิงโทสะ ผ่าท้องช้าง ล้วงเอาเครื่องในมาต้มแกง กินจนสิ้น แล้วจึงโยนหม้อข้าวหม้อแกงลงวังใกล้เคียง กลายเป็น “วังหม้อแกง” อยู่ริมตลาดเมืองนี้

ผู้คนจึงกล่าวว่า คำว่า “พิงงา” อันหมายถึงเขาที่งาช้างพิงไว้ กลายเสียงเป็น “พังงา” ในภายหลัง

ตางุ้มเจ้าของช้าง เมื่อได้ยินข่าว ก็เสียใจสุดประมาณ ตามมาถึงก็สิ้นใจตาย ร่างกลายเป็น “เขาตางุ้ม” ตั้งอยู่ไม่ห่างจาก “เขาช้าง” ดั่งนั่งเฝ้าซากผู้ซื่อสัตย์ของตนตราบนิรันดร์

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องตำนานเขาช้าง 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… เพลิงโทสะ หากครอบงำใจ ย่อมเผาทั้งศัตรูและตัวตนให้มอดไหม้ ยิ่งวิ่งไล่ด้วยแรงแค้น ยิ่งไกลจากสันติ แม้ชนะในที่สุด ก็อาจพบเพียงซากเงาและความว่างเปล่า

ตายมดึงได้ล้างแค้นสมใจ แต่สิ่งที่เขาผลิตขึ้นไม่ใช่ชัยชนะ หากคือภูเขาแห่งความเดียวดาย ที่ยืนอยู่เป็นอนุสรณ์ของคนที่ไล่ทุกสิ่ง… จนหลงลืมว่าตนเหลืออะไร

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องตำนานเขาช้าง นิทานพื้นบ้านเรื่องนี้สืบเนื่องมาจากความพยายามของชาวบ้านในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะในจังหวัดพังงา สุราษฎร์ธานี และพังงาใต้ ที่ต้องการอธิบายชื่อสถานที่ต่าง ๆ ที่มีลักษณะภูมิประเทศเด่นชัด มีรูปร่างคล้ายสัตว์ สิ่งของ หรือเหตุการณ์บางประการ ซึ่งเล่าขานสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน

เขาช้าง, ถ้ำพุงช้าง, บ้านตากแดด, วังหม้อแกง, เขาพร้าหัก, บางลากหอก, เขาโยน, ช่องลูกปลาย, เขาหินลับ, บ้านแผล, ทุ่งคาโง่ก, และเขาตางุ้ม ชื่อทั้งหมดนี้ยังคงปรากฏอยู่จริงบนแผนที่ของภาคใต้ และเป็นที่รู้จักในหมู่คนท้องถิ่นว่าเกี่ยวข้องกับ “ตำนานการล่าช้างของตายมดึง”

เนื้อเรื่องของนิทานผูกโยง “ความแค้นส่วนตัว” กับ “ภูมิทัศน์” อย่างชาญฉลาด จนทำให้ชื่อภูเขาและสถานที่กลายเป็นหลักฐานทางวัฒนธรรมที่ทั้งสะท้อนวิธีคิด ของคนในอดีต และย้ำคุณค่าความเชื่อพื้นบ้าน ที่มองธรรมชาติเชื่อมโยงกับจิตใจมนุษย์อย่างแนบแน่น

นิทานนี้ยังถูกกล่าวถึงในจดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ ร.ศ. 128 โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงบันทึกการเล่าขานของชาวบ้านเรื่อง “เขาช้าง” และ “พิงงา” ไว้ว่าเกี่ยวข้องกับการล่าช้างของชายชื่อ “ตายมดึง” ที่มีความคับแค้นจนถึงขั้นสังหารช้างและใช้เครื่องในมาประกอบอาหาร ก่อนเหวี่ยงหม้อทิ้งลงในวังน้ำอันกลายเป็น “วังหม้อแกง” ในปัจจุบัน

จึงอาจกล่าวได้ว่า “ตำนานเขาช้าง” คือเรื่องเล่าแห่งการตีความธรรมชาติด้วยความเจ็บปวดของมนุษย์ และยังเป็นบันทึกความจำของท้องถิ่นที่กลายเป็นภูเขา ห้วย หนอง และชื่อบ้านนามเมืองจวบจนวันนี้

“เมื่อแค้นกลายเป็นเข็มทิศ ชีวิตก็มีแต่ทางตัน ถึงล้มศัตรูได้ ก็อาจพบเพียงร่างของตนล้มอยู่ข้าง ๆ”